Channel Avatar

MarketThink @UCiKBxvrqZeq4gc_VSehH0QA@youtube.com

12K subscribers - no pronouns :c

รายการที่จะ Share สาระความรู้ ในด้านธุรกิจ การตลาด และการสร้


Welcoem to posts!!

in the future - u will be able to do some more stuff here,,,!! like pat catgirl- i mean um yeah... for now u can only see others's posts :c

MarketThink
Posted 5 months ago

อธิบาย “ลำดับฟีโบนัชชี” กับเลขมหัศจรรย์ 1.618 และวิธีปรับใช้ มุมการตลาด การสร้างแบรนด์ - MarketThink

รู้หรือไม่ว่า เบื้องหลังความสวยงามของงานออกแบบต่าง ๆ ของแต่ละแบรนด์ เช่น โลโก งานโฆษณา
มีจุดเชื่อมโยงกับหลักการทางคณิตศาสตร์อย่างหนึ่ง ชื่อว่า “ลำดับเลขฟีโบนัชชี”

แล้วลำดับเลขฟีโบนัชชีคืออะไร ? และเกี่ยวข้องกับการตลาด การสร้างแบรนด์ ได้ในมุมไหนบ้าง ? เรามาดูกัน..

รากฐานของลำดับเลขฟีโบนัชชี ปรากฏขึ้นมาตั้งแต่ 450-200 ปีก่อนคริสตกาล ในคณิตศาสตร์ของอินเดีย
ซึ่งในตอนนั้นความรู้เกี่ยวกับลำดับเลขฟีโบนัชชี เกี่ยวข้องกับฉันทลักษณ์ในวรรณกรรมภาษาสันสกฤต

แต่ลำดับเลขฟีโบนัชชีเริ่มเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายโดยหนังสือชื่อว่า Liber Abaci
ซึ่งเขียนขึ้นโดย Leonardo Fibonacci

โดยหนังสือ Liber Abaci ทำให้ชาวยุโรปที่ตอนนั้นใช้ระบบตัวเลขโรมันในชีวิตประจำวัน
ได้รู้จักกับระบบตัวเลขฮินดู-อารบิก ซึ่งประกอบไปด้วยสัญลักษณ์ตัวเลขทั้งหมด 10 ตัว

ไล่ตั้งแต่ 0 ไปจนถึง 9 และการกำหนด “หลัก” (Positional Notation) ให้กับตัวเลข

จากความรู้ระบบตัวเลขฮินดู-อารบิก ก็ได้ส่งผลให้การคำนวณเลขในชีวิตประจำวันรวดเร็วมากขึ้น
และทำให้วงการธุรกิจ การบัญชี และการธนาคารในยุโรป มีความเจริญก้าวหน้าอย่างมาก

นอกจากเรื่องระบบตัวเลขฮินดู-อารบิกแล้ว ภายในหนังสือยังเล่าถึงปัญหา “การเกิดของประชากรกระต่าย”
ซึ่งเกี่ยวข้องกับลำดับเลขฟีโบนัชชีที่เรากำลังจะพูดถึงกันต่อไปอีกด้วย

- ลำดับเลขฟีโบนัชชี มีลักษณะอย่างไร ?

ลำดับเลขฟีโบนัชชี คือ ลำดับเลขที่เกิดจากการนำตัวเลข 2 ลำดับก่อนหน้ามาบวกกัน
โดยตัวเลขในลำดับที่ 1 และลำดับที่ 2 ในลำดับเลขฟีโบนัชชี ถูกกำหนดไว้เป็นเลข “0” และ “1”

ดังนั้น ลำดับเลขฟีโบนัชชี จึงมีลำดับตัวเลขเริ่มจาก 0 และ 1 แล้วเรียงไปเรื่อย ๆ ดังนี้
0, 1, 1, 2, 3, 5, 8, 13, 21, 34, 55, 89, 144, 233, 377, 610, ..

จากลำดับตัวเลขข้างต้น ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นได้ว่า ตัวเลขทุกตัวตั้งแต่ลำดับที่ 3 เป็นต้นไป
เกิดจากการนำตัวเลข 2 ลำดับก่อนหน้ามาบวกเข้าด้วยกัน

ตัวอย่างเช่น
เลข 5 เกิดจากการนำตัวเลข 2 ลำดับก่อนหน้ามาบวกกัน ก็คือ 2 + 3 = 5
เลข 89 เกิดจากการนำตัวเลข 2 ลำดับก่อนหน้ามาบวกเช่นเดียวกัน ก็คือ 34 + 55 = 89

ซึ่งความพิเศษของลำดับเลขฟีโบนัชชี คือเราสามารถพบเห็นความสัมพันธ์ในธรรมชาติรอบตัวเราเป็นลำดับแบบฟีโบนัชชี

ตัวอย่างเช่น
- จำนวนแถวของตาสับปะรด
- จำนวนและการวางเรียงซ้อนกันของใบไม้และกลีบดอกไม้ต่าง ๆ
- การจัดวางเมล็ดของดอกทานตะวัน หรือดอกเดซี่ ซึ่งเป็นการจัดวางเมล็ดแบบวงก้นหอย

และความพิเศษของลำดับเลขฟีโบนัชชีอีกอย่างก็คือ
ถ้าเรานำตัวเลขในลำดับเลขฟีโบนัชชีมาหารด้วยตัวเลขในลำดับก่อนหน้า ค่าที่ได้จะลู่เข้าสู่จำนวนหนึ่ง
นั่นก็คือ อัตราส่วนทองคำ หรือ Golden Ratio

- อัตราส่วนทองคำ คืออะไร ?

อัตราส่วนทองคำ คือค่าคงที่ทางคณิตศาสตร์อย่างหนึ่ง มีค่าประมาณ 1.618..
ซึ่งเมื่อเรานำตัวเลขในลำดับเลขฟีโบนัชชี มาหารด้วยตัวเลขในลำดับก่อนหน้า จะได้ค่าเข้าใกล้ 1.618 ด้วย

ตัวอย่างเช่น
- 8 หารด้วย 5 เท่ากับ 1.6
- 13 หารด้วย 8 เท่ากับ 1.625
- 21 หารด้วย 13 เท่ากับ 1.615..

โดยอัตราส่วนทองคำนี้ ตัวอย่างการนำไปใช้ก็คือ ถูกนำไปใช้ในวงการออกแบบ

เช่น การสร้างสี่เหลี่ยมผืนผ้าทองคำให้มีอัตราส่วน ความกว้าง : ความยาว = 1 : 1.618

และถ้าเราเอาสี่เหลี่ยมผืนผ้าดังกล่าว มาแบ่งออกเป็น 2 ส่วน
โดยส่วนแรกเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส อีกรูปที่ได้จะกลายเป็น “สี่เหลี่ยมผืนผ้าทองคำ” โดยอัตโนมัติ

โดยเราสามารถแบ่งรูปออกเป็น 2 ส่วน และได้ผลลัพธ์เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าทองคำที่เล็กลงเรื่อย ๆ ได้ไม่รู้จบ

และถ้าเราลากเส้นโค้งจากมุมหนึ่งไปบรรจบอีกมุมหนึ่งของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
เราจะได้สิ่งที่เรียกว่า “เกลียวทองคำ” หรือ Golden Spiral ที่วนต่อไปไม่รู้จบ (ตามภาพในรูปประกอบบทความนี้)

- แล้วทำไม อัตราส่วนทองคำ Golden Ratio จึงส่งผลให้งานศิลปะมีเสน่ห์ชวนให้น่ามองมากขึ้นได้ ?

อย่างที่บอกไปว่า ลำดับเลขฟีโบนัชชี และอัตราส่วนทองคำ มีความเกี่ยวข้องกัน และสามารถพบเห็นทั่วไปได้ในธรรมชาติผ่านสัดส่วนของสิ่งต่าง ๆ

ตัวอย่างเช่น
- การจัดวางเรียงซ้อนกันของใบไม้และกลีบดอกไม้ในธรรมชาติ
- โครงสร้างการหมุนวนของเส้นโค้งก้นหอย ซึ่งเราสามารถพบเห็นได้ตั้งแต่เปลือกหอยขนาดเล็ก ไปจนถึงรูปทรงของกาแล็กซีในเอกภพ
- สัดส่วนใบหน้าของมนุษย์และกายวิภาคของสัตว์ ก็มีอัตราส่วนทองคำแฝงอยู่เช่นกัน

เมื่ออัตราส่วนทองคำปรากฏอยู่ทั่วไปในธรรมชาติ เราจึงพบเจอตัวเลขอัตราส่วนทองคำนี้ได้ทั่วไป
ผ่านสายตาของตัวเองมาตั้งแต่เราเกิดจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

แล้วเราก็เชื่อมโยงภาพที่ได้พบเจอเป็นปกตินั้น เข้ากับความงามทางสุนทรียภาพโดยไม่รู้ตัว

ทำให้ทุกครั้งที่เราเห็นอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น

ถ้าสิ่งนั้นมีสัดส่วนใกล้เคียงอัตราส่วนทองคำ เราจึงมีความรู้สึกว่าสิ่งนั้นมันทั้งสวยงาม สมดุล มีเสน่ห์ และชวนให้น่ามองไปโดยปริยาย

และเมื่ออัตราส่วนทองคำส่งผลอย่างมากต่อความรู้สึกในด้านความสวยงามทางสุนทรียภาพ
ในวงการงานศิลปะ จึงมีการนำเทคนิคอัตราส่วนทองคำไปใช้กันอย่างกว้างขวางมาตั้งแต่ยุคโบราณ

ตัวอย่างศิลปินในยุคโบราณที่นำอัตราส่วนทองคำมาปรับใช้ในงานศิลปะของตัวเองก็เช่น
Leonardo da Vinci ที่วาดภาพเหมือนของโมนาลิซา

หรือแม้แต่งานสถาปัตยกรรมในยุคโบราณ ก็มีอัตราส่วนทองคำแฝงอยู่เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น
มหาพีระมิดแห่งกีซาในอียิปต์, มหาวิหารน็อทร์-ดามในฝรั่งเศส และมหาวิหารพาร์เธนอนในกรีซ

และในปัจจุบันเองอัตราส่วนทองคำก็ถูกนำไปใช้ในการตลาดด้วยเช่นกัน

โดยใช้ผ่านงานออกแบบต่าง ๆ เช่น
- การตีวงด้วย Golden Ratio เพื่อสร้างโลโกให้แบรนด์
ตัวอย่างแบรนด์ดัง ๆ ที่ใช้ Golden Ratio ออกแบบโลโก เช่น Google, Twitter (X), Apple และ Pepsi

- การออกแบบชิ้นงานโฆษณาและการออกแบบเลย์เอาต์
ชิ้นงานโฆษณาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเผยแพร่ในช่องทางออฟไลน์หรือออนไลน์ ก็สามารถนำ Golden Ratio มาประยุกต์ใช้ได้เหมือนกัน

- การถ่ายภาพ
สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ ภาพบุคคล หรือภาพอื่น ๆ ก็ได้
โดยมีหลักการง่าย ๆ คือ จินตนาการภาพ เกลียวทองคำ ซ้อนทับกับภาพที่เรากำลังจะถ่าย

จากนั้นจัดองค์ประกอบของรูปภาพ โดยให้จุดโฟกัสอยู่ที่บริเวณกึ่งกลางของเกลียวที่เล็กลงเรื่อย ๆ
ส่วนองค์ประกอบอื่น ๆ ของภาพให้จัดตำแหน่งไปที่หางของเกลียว

การจัดองค์ประกอบของรูปภาพแบบนี้ จะทำให้รูปภาพที่ได้มีจุดโฟกัสที่กลมกลืนตามธรรมชาติ

และทั้งหมดนี้ก็คือการอธิบายคอนเซปต์อย่างง่ายเกี่ยวกับ “ลำดับเลขฟีโบนัชชี” และ “อัตราส่วนทองคำ”

ที่ในมุมการตลาด ก็มีการนำหลักการทางคณิตศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในงานศิลปะและงานออกแบบ

ทำให้ลูกค้าที่ได้มาเห็นงานศิลปะหรืองานออกแบบของแบรนด์ เชื่อมโยงภาพที่ได้เห็นเข้ากับความงามทางสุนทรียภาพ

จนชวนให้เกิดแรงดึงดูดใจกับลูกค้า ได้อย่างไม่น่าเชื่อ..

#ลำดับเลขฟีโบนัชชี
#อัตราส่วนทองคำ
#GoldenRatio
#ศิลปะและงานออกแบบ
#กลยุทธ์การตลาด
_____________________

อ้างอิง:
- en.wikipedia.org/wiki/Fibonacci
- en.wikipedia.org/wiki/Fibonacci_sequence
- www.fibonicci.com/fibonacci/
- www.facebook.com/profile/100044610421582/search/
- web.ku.ac.th/schoolnet/snet2/knowledge_math/phibob…
- ngthai.com/science/43843/golden-ratio/
- www.shutterstock.com/th/blog/what-is-the-golden-ra…

12 - 0

MarketThink
Posted 5 months ago

รวม 5 คอร์ส AI เรียนฟรี จาก Nvidia ตั้งแต่พื้นฐาน-มืออาชีพ

-คอร์ส Generative AI Explained
learn.nvidia.com/courses/course-detail?course_id=c…

-คอร์สBuilding A Brain in 10 Minutes
learn.nvidia.com/courses/course-detail?course_id=c…

-คอร์สGetting Started with AI on Jetson Nano
learn.nvidia.com/courses/course-detail?course_id=c…

-คอร์สBuilding Video AI Applications at the Edge on Jetson Nano
learn.nvidia.com/courses/course-detail?course_id=c…

-คอร์สIntroduction to AI in the Data Center
www.coursera.org/learn/ai-infrastructure-operation…

8 - 0

MarketThink
Posted 5 months ago

ตัวอย่าง ร้านอาหารในไทย รายได้หลัก 1,000 ล้าน
#สุกี้ตี๋น้อย #โอ้กะจู๋ #Sushiro #MoMoParadise #ShinkanzenSushi #นักล่าหมูกระทะ

7 - 0

MarketThink
Posted 5 months ago

อธิบายปรากฏการณ์ ราคาหนืด ต้นทุนเพิ่ม แต่ราคาขายเพิ่มตามยาก เจอบ่อยในธุรกิจ ร้านอาหาร - MarketThink

หลาย ๆ ธุรกิจโดยเฉพาะร้านอาหาร จะเจอปัญหาว่า ราคาวัตถุดิบบางช่วงเพิ่มสูงขึ้นเร็ว แต่ตัวราคาสินค้าที่ขายกลับเพิ่มขึ้นไม่ได้ทันทีตามความผันผวน

ในเชิงเศรษฐศาสตร์ มีคำว่า Sticky Prices หรือ ราคาหนืด ที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์นี้

แล้ว Sticky Prices คืออะไร ?

Sticky Prices แปลตรงตัวก็คือ ราคาหนืด
คือการที่เราไม่สามารถปรับเพิ่มหรือลดราคาสินค้าและบริการ ให้เป็นไปตามราคาวัตถุดิบ หรือปริมาณความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในระยะสั้นได้

แล้วมีเหตุผลสำคัญ ๆ อะไรบ้าง ที่ทำให้เราไม่สามารถปรับราคาสินค้าตามราคาวัตถุดิบได้ทันที

1. มีเรื่อง Menu Costs

คำว่า Menu Costs แปลตรง ๆ คือ ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแปลงเมนู
ซึ่งในเชิงปฏิบัติ ก็จะหมายความถึง ค่าใช้จ่ายในการทำเมนูใหม่จริง ๆ

บวกรวมด้วยค่าใช้จ่ายแฝงอื่น ๆ ที่เป็นทั้งตัวเงิน และไม่เป็นตัวเงิน เช่น ค่าเสียเวลา

ซึ่ง Menu Costs ของแต่ละบริษัท แต่ละธุรกิจ จะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของกระบวนการกำหนดราคาของแต่ละบริษัท

2. ถ้าขึ้นราคาก่อน จะเสียเปรียบคู่แข่ง

ถ้าเราปรับราคาขึ้นทันที แล้วร้านคู่แข่งยังไม่ได้ขึ้นราคา เราจะเสียเปรียบในเรื่องราคาเปรียบเทียบทันที
ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่มีผู้ประกอบการรายไหน อยากเจอเหตุการณ์แบบนี้

เราเลยมักจะเห็นการแข่งกันอั้นการขึ้นราคา เพื่อให้ร้านค้าของตัวเองยังไม่เสียเปรียบในเรื่องราคาขาย ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค

กลายเป็นว่า ใครขึ้นราคาก่อน จะเสียเปรียบคู่แข่งทันที

3. ภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของแบรนด์

ผู้ประกอบการหลายรายเลือกที่จะไม่เปลี่ยนแปลงราคาสินค้าและบริการบ่อย ๆ เนื่องจากคำนึงถึงมุมมองของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าของเรา

ไม่ว่าจะเป็น
- ความพึงพอใจของลูกค้า
- หากมีการปรับราคา ลูกค้าจะยังซื้อสินค้าหรือบริการจากเราอยู่ไหม
- ภาพลักษณ์ของธุรกิจจะเสียหายหรือไม่

รวม ๆ กันแล้ว ทำให้เกิดปรากฏการณ์แบบที่ว่า
คือต้นทุนขายเพิ่ม แต่จะเพิ่มราคาขายตามทันทีได้ยาก หน่วง ๆ หนืด ๆ กันไปแบบนี้พักใหญ่..

#StickyPrices
#ราคาหนืด
_______________________

อ้างอิง :
-www.studysmarter.co.uk/explanations/macroeconomics…
-www.tutor2u.net/economics/topics/menu-costs
-priceva.com/blog/sticky-prices
-www.paddle.com/blog/pricing-strategy
-www.paddle.com/blog/sticky-prices

7 - 0

MarketThink
Posted 5 months ago

จิตวิทยาโรงหนัง ทำไมพ็อปคอร์นขายดี ในมุมการตลาด - MarketThink

ปีที่แล้ว Major Cineplex มีรายได้กว่า 8,734 ล้านบาท
ที่น่าสนใจ รายได้จากการขาย ของทานเล่น โดยมีสินค้าหลักอย่าง พ็อปคอร์น และเครื่องดื่ม คิดเป็นกว่า 27% ของรายได้ทั้งหมด หรือกว่า 2,358 ล้านบาท

เห็นรายได้แบบนี้ ก็คงจะจริงที่หลายคนบอกว่า ถ้าส้อมคู่กับช้อน โรงหนังก็ต้องคู่กับพ็อปคอร์น..

แล้วเคยสงสัยไหมว่า ทำไมพ็อปคอร์นในโรงหนัง ถึงขายดี ?
เรื่องนี้ MarketThink จะพาไปหาคำตอบผ่านจิตวิทยาการตลาดที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังกัน

จุดเริ่มต้นของการทานพ็อปคอร์นในโรงหนัง ต้องย้อนกลับไปร้อยกว่าปีที่แล้ว

จริง ๆ แล้วพ็อปคอร์นเป็นอาหารยอดนิยมของชาวอเมริกันอยู่แล้ว
แต่ในตอนนั้นโรงหนังยังไม่อนุญาตให้นำอาหารและเครื่องดื่มเข้าไปรับประทาน เพราะกลัวว่าผู้ชมอาจทำเปื้อนพรมและเบาะนั่ง

แต่คุณจูเลีย เบรเดน (Julia Braden) เป็นผู้ริเริ่มเจรจากับโรงหนังชื่อดังในสหรัฐอเมริกา นำไปสู่การวางขายพ็อปคอร์นที่ล็อบบีหน้าโรงหนังได้ในที่สุด

และเนื่องจากพ็อปคอร์น ทำจากเมล็ดข้าวโพด ซึ่งไม่ได้มีต้นทุนสูงมากนัก
คุณจูเลีย จึงขายพ็อปคอร์นในราคาไม่แพง

ซึ่งในช่วงนั้นเป็นช่วงที่สหรัฐอเมริกา กำลังประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression)
ส่งผลให้เศรษฐกิจตกต่ำเป็นอย่างมาก ทำให้ประชาชนพยายามหลีกเลี่ยงการใช้เงินฟุ่มเฟือย

เมื่อพ็อปคอร์นของคุณจูเลีย ไม่ได้ขายแพง จึงทำให้พ็อปคอร์นเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยเพียงไม่กี่อย่าง ที่ชาวอเมริกันเลือกซื้อทาน

ตัดภาพกลับมาที่ปัจจุบัน แม้พ็อปคอร์นของโรงหนัง จะไม่ได้ใช้กลยุทธ์ตั้งราคาให้เข้าถึงง่ายอีกแล้ว
แต่พ็อปคอร์นของโรงหนังก็ยังขายดีเป็นเทน้ำเทท่า..

ซึ่งจิตวิทยาเบื้องหลังที่ทำให้ พ็อปคอร์นต้องคู่กับโรงหนัง และขายดี คือ

- Dim Lighting Appetite Effect

ในทางการตลาด หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “Sensory Marketing” หรือ การทำการตลาดผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ รูป, รส, กลิ่น, เสียง และสัมผัส

ซึ่งเป็นกลยุทธ์การตลาดที่ช่วยสร้างการรับรู้และการจดจำให้แบรนด์ ทั้งยังช่วยทำให้ลูกค้าพึงพอใจต่อแบรนด์ได้อีกด้วย

รู้หรือไม่ ? แสงไฟ นับเป็นหนึ่งในประสาทสัมผัสด้านรูป ที่ช่วยทำให้ลูกค้าพึงพอใจต่อแบรนด์ได้
ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจอาหาร

เคยมีงานวิจัยตีพิมพ์ใน Journal of Marketing Research ระบุว่า แสงไฟในร้านอาหาร ส่งผลต่อรสชาติของอาหาร รวมถึงพฤติกรรมการเลือกทานอาหารของเราด้วย

งานวิจัยพบว่า ร้านอาหารที่ยิ่งมีแสงไฟสว่าง ยิ่งทำให้เราเลือกทานอาหารเพื่อสุขภาพ
แต่ถ้าเมื่อไร ร้านอาหารยิ่งมีแสงสลัว (Dim Light) ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย ก็ยิ่งทำให้เราอยากอาหาร และเลือกทานอาหารที่มีแคลอรีสูงมากขึ้นเท่านั้น

โดยจากการทดลองเปรียบเทียบระหว่าง การทานอาหารในที่มีแสงสว่าง และมีแสงสลัว
ผลปรากฏว่า ผู้เข้าทดลองในห้องที่มีแสงสลัว เลือกทานอาหารที่มีแคลอรีสูงกว่า 18% เมื่อเทียบกับห้องที่มีแสงสว่าง

รวมถึงห้องที่มีแสงสลัว ยังทำให้ผู้เข้าทดลองมีความอยากอาหารมากกว่า
สะท้อนได้จากจำนวนออร์เดอร์ของห้องที่มีแสงสลัว มีจำนวนออร์เดอร์เมนูเรียกน้ำย่อยสูงขึ้น 24% และเมนูของหวานสูงขึ้น 39% เมื่อเทียบกับห้องที่มีแสงสว่าง

จากงานวิจัยนี้ อาจสรุปได้ว่า
สำหรับใครที่ทำธุรกิจ ก็ควรจะเลือกใช้แสงไฟในร้าน ให้เหมาะกับประเภทของอาหารที่ขาย

ส่วนในกรณีของโรงหนัง ที่มีเพียงแสงสลัว ๆ จากหนังที่ฉาย

หากจะขายอาหารเพื่อสุขภาพ ก็คงไม่เวิร์ก..
แต่ที่เวิร์กก็คงจะเป็นอาหารที่มีแคลอรีสูง เช่น พ็อปคอร์น ที่ปัจจุบันมีส่วนผสมของ น้ำมัน, เนย, น้ำตาล และมักเพิ่มรสชาติด้วยผงปรุงรส เช่น ชีส, คาราเมล เพื่อเพิ่มความเค็มและความหวานอีกด้วย

- คอนเทนต์และความอินต่อหนัง ยิ่งทำให้เราทานเยอะขึ้น

อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้พ็อปคอร์นขายดี คุณ Vivien Shuo Zhou รองศาสตราจารย์ด้านการสื่อสาร มหาวิทยาลัย Hong Kong Baptist ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร TIME ไว้ว่า คอนเทนต์ในหนังก็ส่งผลต่อความอยากอาหารของผู้ชม

โดยเฉพาะหนังที่มีซีนฉายให้เห็นตัวละครกำลังทานอาหาร ก็ยิ่งทำให้ผู้ชมอยากอาหารตาม
แต่เรื่องนี้ต้องหมายเหตุด้วยว่า ผู้ชมจะอยากทานอาหารตามตัวละครในหนัง ก็ต่อเมื่ออินและอยากมีประสบการณ์ร่วมกับตัวละครนั้น ๆ

นอกเหนือจากจิตวิทยาที่กล่าวไปแล้ว หากลองวิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้ พ็อปคอร์น เป็นของคู่กับโรงหนัง

ในมุมของผู้ประกอบการ ก็เพราะว่า พ็อปคอร์นเป็นขนมที่หกแล้วไม่เลอะเทอะ เก็บกวาดง่าย

ส่วนในมุมของลูกค้า ก็เพราะพ็อปคอร์น เป็นขนมที่หยิบทานง่าย มีกลิ่นหอมชวนให้ซื้อ แถมยังมีหลากหลายรสให้เลือกตามความชอบ
และเป็นอะไรที่ทานได้ยาว ๆ ทานได้เรื่อย ๆ

สุดท้ายนี้ ในมุมของ Major Cineplex ที่ขายพ็อปคอร์นและเครื่องดื่ม ได้กว่า 2,358 ล้านบาท เมื่อปีที่แล้ว

ทาง Major Cineplex บอกว่า Gross Margin หรือ อัตรากำไรขั้นต้น ของการขายพ็อปคอร์นและเครื่องดื่ม อยู่ที่ประมาณ 55-60%

คือหมายความว่า ทุก ๆ 100 บาท ที่เราจ่ายค่าพ็อปคอร์นและเครื่องดื่มไปนั้น
เมื่อหักต้นทุนค่าวัตถุดิบออกแล้ว บริษัทจะมีกำไรขั้นต้น อยู่ที่ 55-60 บาท

ซึ่งอัตรากำไรระดับนี้ ถือว่าค่อนข้างสูง

ที่ Major Cineplex สามารถขายสินค้าพวกนี้ในราคาสูงกว่าต้นทุนได้มาก เพราะว่ามีกฎห้ามเอาอาหารและเครื่องดื่มจากข้างนอก เข้าโรงภาพยนตร์

คนที่อยากซื้อน้ำ ซื้อขนมทานตอนดูหนัง ก็ต้องยอมจ่ายตามราคาที่ Major Cineplex ขายนั่นเอง..

#พ็อปคอร์น
#MAJOR
______________________
อ้างอิง:
-www.longtungirl.com/11650
-www.set.or.th/th/market/product/stock/quote/MAJOR/…
-time.com/6302767/movie-theaters-turn-us-into-botto…
-www.superiorseating.com/blog/restaurant-hack-dim-l…
-resources.boelter.com/how-restaurant-lighting-affe…

11 - 0

MarketThink
Posted 5 months ago

Beam สกูตเตอร์ไฟฟ้าให้เช่า โบกมือลาไทย ยุติกิจการในไทย สิ้นเดือนนี้ - MarketThink

-Beam คือบริการสกูตเตอร์ไฟฟ้า หรือ E-Scooter ผ่านระบบการเช่าขับ คันสีม่วง ๆ
โดย Beam เป็นสตาร์ตอัปจากสิงคโปร์ เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2018 ตอนนี้มีให้บริการในหลายประเทศ เช่น มาเลเซีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ รวมถึงไทย

-การใช้งานของ Beam คร่าว ๆ คือจะใช้บริการได้ภายในพื้นที่กำหนดเท่านั้น โดยสามารถสแกนใช้งานผ่านแอปพลิเคชัน จาก QR Code ที่ตัวรถ แล้วจ่ายเงินตามการใช้งาน

ซึ่งในไทยตอนนี้ มีพื้นที่ให้บริการหลัก ๆ คือ มหาวิทยาลัยในกรุงเทพมหานคร เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มหาวิทยาลัยรังสิต
รวมถึงบางพื้นที่ในจังหวัดภูเก็ต เช่น ในพื้นที่ Dusit Thani Laguna Phuket

-อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา Beam เจอปัญหาในหลายพื้นที่ เช่น ปัญหาความปลอดภัยในการใช้งานบนท้องถนน
ทำให้ในหลายประเทศ ถูกกฎหมายกำหนดเลยว่าผู้ใช้ต้องมีใบขับขี่ และในไทย ก็เคยมีข่าวอุบัติเหตุและปัญหาการใช้งานบนท้องถนนให้เห็นบ้าง

-ล่าสุดเช่าวันนี้ เพจเฟซบุ๊ก Beam Thailand โพสต์บอกว่า จะยุติการให้บริการสกูตเตอร์ไฟฟ้า Beam ในประเทศไทยแล้ว โดยจะให้บริการวันสุดท้ายในวันที่ 27 มิถุนายน 2567

และบริษัทจะยุติกิจการในประเทศไทย ในวันที่ 30 มิถุนายน 2567 ที่จะถึงนี้..

ที่มา :
www.facebook.com/ridebeamthailand/posts/pfbid02222…

8 - 0

MarketThink
Posted 5 months ago

สรุป ตำแหน่งงาน ด้านการตลาด & โฆษณา ที่ได้ยินกันบ่อย ๆ
#ตำแหน่งงาน #การตลาด #MarketThink

9 - 0

MarketThink
Posted 5 months ago

สรุปสูตร ทำคอนเทนต์ให้ถูกใจ Algorithm อัปเดตปี 2024 จากงาน CTC 2024 - MarketThink

อัลกอริทึมของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เป็นหนึ่งในความท้าทาย ที่คนทำการตลาด และคอนเทนต์ น่าจะเจออยู่บ่อย ๆ
เพราะในบางครั้ง ต่อให้ทำคอนเทนต์ดีเพียงใด แต่ถ้าไม่ถูกใจอัลกอริทึมก็ไม่มีใครเห็น

ล่าสุด ที่งาน Creative Talk Conference 2024 มี Session ที่ชื่อว่า Social Media Algorithm & Creator Landscape 2024-2025 โดยคุณขจร เจียรนัยพานิชย์ ได้อธิบายถึงการทำคอนเทนต์ ให้ถูกใจอัลกอริทึมโดยเฉพาะ

แล้วเรื่องนี้ จะมี “สูตร” ในการทำคอนเทนต์อย่างไร ? MarketThink สรุปให้อ่านกันในโพสต์นี้

ก่อนที่เราจะรู้สูตรการทำคอนเทนต์ให้ถูกใจอัลกอริทึม เราต้องรู้กันก่อนว่า อัลกอริทึมของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ทำงานอย่างไร

อัลกอริทึมของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย จะมีการทำงาน 2 รูปแบบหลัก ๆ ด้วยกัน คือ

1. อัลกอริทึมแบบ Social Media เช่น Facebook

มีหลักการทำงานแบบการแชร์คอนเทนต์จากคนสู่คน
นั่นคือ เราจะเห็นคอนเทนต์ต่าง ๆ บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ที่ใช้อัลกอริทึมแบบนี้ เป็นคอนเทนต์ของเพื่อน ๆ เพจ ช่อง หรือคนที่เรากดติดตาม คิดเป็นสัดส่วนราว ๆ 85%

ในขณะที่คอนเทนต์ที่เหลืออีก 15% จะเป็นคอนเทนต์อื่น ๆ ที่แพลตฟอร์มคัดเลือกมาให้ โดยอิงจากความสนใจของเรา แม้ว่าเราจะไม่ได้กดติดตาม

ซึ่งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ที่ใช้อัลกอริทึมแบบ Social Media ก็อย่างเช่น
- Facebook
- Instagram
- LINE VOOM
- LinkedIn

แต่ต้องหมายเหตุไว้ก่อนว่า ในช่วงหลัง Facebook และ Instagram ก็เริ่มปรับอัลกอริทึม ให้แสดงคอนเทนต์ตามความสนใจ ในสัดส่วนที่มากขึ้น เช่น จาก 15% เพิ่มเป็น 30%-40% แม้ว่าเราจะไม่ได้ติดตามก็ตาม

2. อัลกอริทึมแบบ Recommendation Media เช่น TikTok

มีหลักการทำงานตรงข้ามกับอัลกอริทึมแบบ Social Media ก็คือ
คอนเทนต์ส่วนใหญ่ที่เราเห็นบนแพลตฟอร์ม จะเป็นคอนเทนต์ที่มาจากการคัดเลือกของอัลกอริทึม โดยที่เราไม่จำเป็นต้องกดติดตามใด ๆ เลย

ซึ่งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ที่ใช้อัลกอริทึมแบบ Recommendation Media ก็อย่างเช่น
- TikTok
- YouTube
- X (Twitter เดิม)

ทีนี้ เรามาดูกันต่อว่า เราจะมีวิธีในการทำคอนเทนต์อย่างไร ให้ถูกใจอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย มากที่สุด

- ทำคอนเทนต์ ให้ถูกใจสิ่งที่แต่ละแพลตฟอร์มกำลังผลักดัน

เช่น ช่วงนี้ Facebook กำลังผลักดันคอนเทนต์ประเภท Text ที่มีเพียงแค่ข้อความ ไม่มีรูปภาพ อัลบั้ม หรือคลิปวิดีโอ

หรือ TikTok ที่กำลังผลักดันคลิปวิดีโอขายสินค้าบน TikTok Shop

หากเราจับทางถูก และรู้ว่าแต่ละแพลตฟอร์มกำลังผลักดันคอนเทนต์แบบใด แล้วทำคอนเทนต์แบบนั้นออกมา ก็จะทำให้คนเห็นคอนเทนต์ของเราได้ง่ายขึ้น

โดยที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย จะใช้อัลกอริทึม ในการวิเคราะห์คอนเทนต์แต่ละตัว ว่าเป็นคอนเทนต์ประเภทใด เช่น คอนเทนต์ Text, รูปภาพ, อัลบั้ม หรือคลิปวิดีโอ

แล้วนำคอนเทนต์เหล่านั้นมาให้คะแนน เพื่อคัดเลือกเป็นคอนเทนต์ ที่ผู้ใช้แต่ละคนจะเห็นที่หน้าฟีดของตัวเอง

- ทำคอนเทนต์ให้ถูกใจทั้งคน และ AI

ในข้อนี้ ต้องอธิบายก่อนว่า อัลกอริทึมของโซเชียลมีเดียแต่ละแพลตฟอร์มนั้น จะทำการคัดเลือกคอนเทนต์ไปแสดงให้กับผู้ใช้งาน ตามความสนใจ

โดยแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย จะใช้ AI วิเคราะห์คอนเทนต์แต่ละตัวว่าเป็นคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับอะไร

โดยดูจากเนื้อหาภายในคอนเทนต์นั้น แคปชัน แฮชแท็ก สถานที่ คำบรรยายในคลิปวิดีโอ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าคอนเทนต์ของเราจะถูก AI ดูแทบทุกอย่าง

หลังจากนั้นเมื่อ AI จัดประเภทได้แล้วว่าคอนเทนต์ของเรา เกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร ก็จะนำคอนเทนต์นี้ ไปแสดงให้กับผู้ใช้ ที่มีความชอบตรงกัน

- คอนเทนต์ ต้องเหมาะกับโครงสร้างของเพจ/ช่อง แต่ละประเภท

ซึ่งโครงสร้างของเพจ/ช่องในที่นี้ หมายถึง ทั้งประเภทและจำนวนของคอนเทนต์ที่ทำ ต้องเหมาะสมกับประเภทของเพจ/ช่อง

โดยทั่วไปแล้วโครงสร้างของเพจ/ช่อง จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทด้วยกัน ได้แก่

1. เพจ/ช่องประเภท Mass
เช่น สำนักข่าวออนไลน์, สื่อ, อินฟลูเอนเซอร์, คนดังทั่วไป

ควรทำคอนเทนต์ที่เป็นข่าว เรื่องที่กำลังอยู่ในกระแส หรือเรื่องทั่วไปให้มาก เพื่อเข้าถึงผู้ใช้งานให้มากที่สุด แต่ควรทำคอนเทนต์ประเภท Niche ให้น้อย

2. เพจ/ช่องประเภท Category Media หรือ Category Creator
เช่น เพจด้านการตลาด, สำนักข่าวเศรษฐกิจ, อินฟลูเอนเซอร์ด้านการเงิน การลงทุน ที่เน้นการทำคอนเทนต์เฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

ควรทำคอนเทนต์ Mass และ Niche ในสัดส่วนที่เท่า ๆ กัน

3. เพจ/ช่องประเภท Niche
เช่น เพจแฟนคลับของศิลปินคนใดคนหนึ่ง แฟนคลับสโมสรฟุตบอลแห่งหนึ่ง

ควรทำคอนเทนต์ที่มีความเฉพาะด้าน เจาะลึกไปยังเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ติดตามเพจของเราไปเลย

จะดีกว่าการทำคอนเทนต์ Mass ซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องที่กลุ่มเป้าหมายของเราสนใจ

- Performance ในอดีตที่ผ่านมา ชี้ชะตาปัจจุบัน

อีกข้อหนึ่งที่มีความสำคัญคือ อัลกอริทึมของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย จะนำ Performance ในอดีตที่ผ่านมาของเพจ มาใช้เป็นปัจจัยในการเลือกคอนเทนต์ไปแสดงให้ผู้ใช้งานแต่ละคน

หาก Performance ในอดีตที่ผ่านมาของเพจ ทำได้ไม่ดี เช่น คอนเทนต์มี Reach และ Engagement น้อย
ก็มีแนวโน้มว่า คอนเทนต์ใหม่ ๆ ที่ปล่อยออกไป ก็จะมี Performance ที่ไม่ดี เช่นเดียวกัน

นั่นหมายความว่า หากต้องการเอาชนะอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียให้ได้ ก็ต้องทำคอนเทนต์ของเราให้มีคุณภาพ และน่าดึงดูดมากที่สุดในทุกคอนเทนต์ อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ การที่เราจะเอาชนะอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียได้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกหลายประการ

เช่น การลงคอนเทนต์ให้สม่ำเสมอ ไม่มา ๆ หาย ๆ เคยมีคอนเทนต์กี่ตัวในหนึ่งสัปดาห์ ก็ต้องทำให้ได้เท่าเดิมเรื่อย ๆ
ทำคอนเทนต์ให้มีความน่าสนใจ ทั้งเนื้อหา แคปชัน ภาพประกอบ
หรือการพยายามให้ผู้ติดตามกด See First ซึ่งจะทำให้เห็นคอนเทนต์ของเพจบ่อยกว่าปกติ

เมื่ออ่านมาจนถึงจุดนี้ จะเห็นได้เลยว่า การที่คอนเทนต์ของเราจะเข้าถึงคนได้หรือไม่ มีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง ตามการคัดเลือกของอัลกอริทึมและ AI

แต่ถ้ามาคิดดูดี ๆ แล้ว จะเห็นได้เลยว่า สิ่งที่สำคัญที่สุด ยังคงเป็นเรื่องของคุณภาพคอนเทนต์

เพราะไม่ว่าอัลกอริทึมจะเปลี่ยนไปอย่างไร
การทำคอนเทนต์ให้มีคุณภาพดี และน่าดึงดูดมากพอ ก็ยังคงมีความสำคัญมากที่สุดอยู่เช่นเดิม

#โซเชียลมีเดีย
#อัลกอริทึม
#AI

อ้างอิง :
- ข้อมูลจากงาน Creative Talk Conference 2024 ใน Session Social Media Algorithm & Creator Landscape 2024-2025

10 - 0

MarketThink
Posted 5 months ago

Top 10 คนรวยสุดในไทย อัปเดต ณ กลางปีนี้ ข้อมูลจาก Forbes
#คนรวยสุดในไทย #MarketThink

8 - 0

MarketThink
Posted 5 months ago

TikTok เปิดให้ดาวน์โหลด Whee แอปโซเชียลตัวใหม่ ใช้โพสต์รูป แบบเดียวกับ Instagram - MarketThink

ล่าสุด ByteDance ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ TikTok เพิ่งจะเปิดให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ชื่อว่า Whee

โดยWhee เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียตัวใหม่ล่าสุดของบริษัท ที่เน้นไปที่การโพสต์รูปภาพ แบบเดียวกับ Instagram

ในเบื้องต้น รายละเอียดของแอปพลิเคชัน Whee มีเพียงข้อมูลที่ระบุอยู่บน App Store ว่า Whee เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้ใช้งานแชร์รูปภาพช่วงเวลาต่าง ๆ ในชีวิตของตัวเองกับบุคคลที่เป็น “เพื่อนสนิท” โดยเฉพาะ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเป็นตัวของตัวเองได้มากที่สุด

ซึ่งหากเราลองดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Whee จาก App Store บน iPhone จะพบว่า
ผู้ใช้งานสามารถเข้าสู่ระบบได้ด้วยบัญชี TikTok ของตัวเองได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องสมัครสมาชิกของ Whee แยกต่างหาก

ส่วนวิธีการใช้งานแอปพลิเคชัน Whee ก็ดูเรียบง่าย เพราะมีเพียง 3 เมนูหลัก ๆ เท่านั้น คือ

- เมนู Message ไว้ใช้ส่งข้อความหาเพื่อน ๆ บนแอปพลิเคชัน Whee และ TikTok
- เมนูกล้อง ให้เราถ่ายภาพ และโพสต์ลงแอปพลิเคชัน Whee ได้ทันทีในปุ่มเดียว
- เมนูหน้า Feed ที่เราสามารถดูโพสต์ต่าง ๆ ของเพื่อน ๆ ได้ที่หน้านี้

ที่น่าสนใจคือ การโพสต์รูปภาพลงบนแอปพลิเคชัน Whee จะมีความแตกต่างจาก Instagram อยู่ในหลาย ๆ จุด เช่น

- ต้องโพสต์รูปภาพในสัดส่วน 1:1 เท่านั้น ยังไม่สามารถปรับสัดส่วนของรูปภาพได้หลากหลายเหมือน Instagram

- ยังไม่สามารถโพสต์รูปภาพพร้อมแคปชันได้

- ต้องกดเพิ่มเพื่อนบนแอปพลิเคชัน Whee ก่อน จึงจะสามารถเห็นรูปภาพ ของกันและกันได้

แต่อย่างไรก็ตาม แอปพลิเคชัน Whee เพิ่งจะเปิดให้ดาวน์โหลดได้ไม่นาน ซึ่งก็ไม่แน่ว่าในอนาคตแอปพลิเคชัน Whee จะมีฟีเชอร์ใหม่เพิ่มขึ้น ก็เป็นไปได้

ใครอยากรู้ว่าหน้าตาแอปพลิเคชัน Whee เป็นอย่างไร
ตอนนี้มีให้ดาวน์โหลดได้แล้วทั้งใน App Store และ Play Store เข้าไปลองดาวน์โหลดมาเล่นกันได้..

5 - 0