Channel Avatar

Prachatham Media @UCa4Y1BzEYqvgnSnAiWznJCg@youtube.com

472 subscribers - no pronouns :c

มูลนิธิสื่อประชาธรรม Prachatham Media Foundation


Welcoem to posts!!

in the future - u will be able to do some more stuff here,,,!! like pat catgirl- i mean um yeah... for now u can only see others's posts :c

Prachatham Media
Posted 10 months ago

ปัญหาสุขภาพจิตกำลังเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่เริ่มถูกนำเสนอบนพื้นที่สื่อในระดับท้องถิ่นมากขึ้น ด้วยข้อมูลเชิงสถิติที่น่าสนใจจากกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุขพบว่า จำนวนผู้ป่วยจิตเวชทั่วประเทศไทยประจำปีงบประมาณ 2566 ทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอกรวมทั้งสิ้น 4,603,186 คน

เมื่อเจาะลึกข้อมูลดังกล่าวลงไปอีกจะพบสถิติที่น่าสนใจว่า จำนวนผู้ป่วยจิตเวชในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนซึ่งอยู่ในเขตสุขภาพที่ 1 สูงเป็นอันดับ 3 ของเขตสุขภาพทั้งหมด 13 เขต ซึ่งเป็นสถิติที่ทำให้ผู้เขียนต้องตั้งข้อสังเกตต่อไปว่า ทำไมสถานการณ์สุขภาพจิตในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนถึงเป็นเช่นนี้

ถ้าพูดถึงสถานการณ์ตามรายจังหวัดภาคเหนือในเขตสุขภาพที่ 1 ผู้เขียนในฐานะผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ ลำปาง จังหวัดภาคเหนือที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งความสุขตามสโลแกนเพื่อการท่องเที่ยว กลับมีจำนวนผู้ป่วยจิตเวชสูงเป็นอันดับ 3 รองลงมาจากเชียงรายและเชียงใหม่ แม้จะเป็นข้อมูลที่อาจสร้างความกังวลใจให้กับสถานการณ์ทางสุขภาพจิตของจังหวัดลำปางได้ไม่น้อย แต่ถ้ามองในแง่การเข้าถึงระบบบริการสุขภาพจิต ผู้เขียนสามารถวิเคราะห์ออกมาเป็นฉากทัศน์ (Scenario) ได้สองแบบคือ “จังหวัดลำปางมีจำนวนประชากรผู้ป่วยจิตเวชเพิ่มขึ้น” กับ “ประชาชนในจังหวัดลำปางเข้าถึงระบบบริการสุขภาพจิตมากขึ้น” ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งสัญญาณที่ดีและไม่ดีต่อสถานการณ์ทางสุขภาพจิตของจังหวัดลำปาง

อ่าน 'ลำปางขะไจ๋: ในวันที่ปัญหาสุขภาพจิตไม่ได้อยู่ไกลตัว' โดย รัชชา สถิตทรงธรรม /Activist Journalist ต่อได้ที่ prachatham.com/2024/02/28/28022567-01/

#ปัญหาสุขภาพจิต
#ลำปางขะไจ๋
#lanner
#prachatham
#activistjournalist

0 - 0

Prachatham Media
Posted 10 months ago

อ่าน ‘นายูสมองไหลไปรามฯ’ การโบยบินอ(ยาก)จะกลับของแวรุงชายแดนใต้ ตอนที่ 1 prachatham.com/2024/02/22/22022024-01/

“ภาพฝัน”- “โอกาส” - “ภาพลวงตา” คือสามคำที่ฟิตรีนิยามชีวิตสิบปีที่รามคำแหง เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า “ภาพฝัน” หมายถึงชีวิตที่ฝันอยากอยู่ในสังคมที่เจริญและพัฒนา “โอกาส” หมายถึงชีวิตที่มีโอกาสในหลากหลายด้าน “ภาพลวงตา” หมายถึงหากชีวิตอยู่อย่างไม่มีสติ จะหลงระเริงไปกับภาพลวงตา จนลืมตัวเองและลืมบ้านเกิดได้”

ด้านอามีเนาะบอกว่า “ดีเกินคาด” คือคำนิยามชีวิตที่รามคำแหงของเธอ เพราะเป็นสถานที่หล่อหลอมให้เป็นคนที่ดีขึ้น ทำให้พบกับผู้คนและสภาพแวดล้อมที่ดี โดยเฉพาะกลุ่ม P.N.Y.S. มีส่วนอย่างมากที่ทำให้เรามองเห็นปัญหาและคุณค่าของบ้านเกิดมากขึ้น จนอยากเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาบ้านเกิด”

ฟิตรี กล่าวเสริมสิ่งที่ตัวเองได้จากสังคม P.N.Y.S. ใน ม.รามคำแหง ว่า “การทำกิจกรรมต่าง ๆ กับกลุ่มนี้ช่วยทำให้ผมเติบโตขึ้นทั้งเรื่องเรื่องความคิด ทัศนคิต อารมณ์เเละอีกหลากหลายด้าน

อ่าน ‘นายูสมองไหลไปรามฯ’ การโบยบินอ(ยาก)จะกลับของแวรุงชายแดนใต้ ตอนที่ 2
prachatham.com/2024/02/23/23022024-01/

#นายูสมองไหล
#มุสลิม
#activistjournalist
#prachatham
#lanner

0 - 0

Prachatham Media
Posted 10 months ago

ชายหนุ่มพูดภาษามลายู หญิงคลุมฮิญาบ เดินกวักไกวไปมาสองข้างถนนในซอยรามคำแหง 53 ตัดสลับกับภาพร้านรวงที่ตั้งโต๊ะขายข้าวยำ ขนมจือปุ ขนมเจะเเมะ และรถมอเตอร์ไซค์จอแจสวมป้ายทะเบียนปัตตานี ยะลา หรือนราธิวาส เหล่านี้คือภาพฉากที่สามารถพบเจอได้เป็นปกติทุกครั้งที่เดินทางผ่านไปย่านหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง สะท้อนตัวตนของพื้นที่แห่งนี้ที่แม้ไม่ต้องป้องปากตะโกนบอกก็รู้ว่าต่างไปจากพื้นที่อื่น ๆ ของกรุงเทพฯ อยู่มาก

การก่อตัวของ ‘ชุมชนมลายู’ กลางเมืองกรุงเทพฯ แน่นอนว่าคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะนี่คือผลของปรากฏการณ์หนีทุ่งมุ่งเมืองของเยาวชนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือเรียกให้ชัดว่านี่คือผลจาก ‘ภาวะแวรุงนายูสมองไหล’ ที่ตัดสินใจพรากจาก ‘ตาเนาะห์อุมมี’ หรือบ้านเกิดเมืองนอน มาสู่มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้ออกแบบชีวิตการเรียน ทำกิจกรรม หรือทำงานได้ด้วยตัวของพวกเขาเอง

อะไรเป็นเหตุผลให้คนหนุ่มสาวจากสามจังหวัดชายแดนใต้ทิ้งบ้านเกิดมาเป็น ‘ชาวรามเมี่ยน’ คุณภาพชีวิตในดินแดนแห่งใหม่เป็นอย่างไรบ้าง และพวกเขาเคยคิดอยากกลับบ้านหรือตัดสินใจลงหลักปักฐานดำเนินชีวิตที่นี่ต่อไปมากกว่า ชวนหาคำตอบผ่านบทสนทนาในร้านกาแฟหอมกรุ่น กับ ฟิตรี อารง และ อามีเนาะ เจ๊ะลีมา สองคนหนุ่มสาวที่เรียนและทำงานแถวรามเกือบ 10 ปีเต็ม พร้อมกะเทาะเปลือกปัญหาเเละส่องสำรวจเเนวทางเพื่อโอบรับนายูพลัดถิ่นกลับบ้านกับ เอกรินทร์ ต่วนศิริ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

อ่าน ‘นายูสมองไหลไปรามฯ’ การโบยบินอ (ยาก) จะกลับของแวรุงชายแดนใต้ ตอนที่ 1 โดย อติรุจ ดือเระ, ฮาฟีซีน นะดารานิง และกูอิลยัส สุดทองคง /Activist Journalist ได้ที่ prachatham.com/2024/02/22/22022024-01/

#นายูสมองไหล
#มุสลิม
#activistjournalist
#prachatham
#lanner

0 - 0

Prachatham Media
Posted 10 months ago

เมืองท่าขี้เหล็ก เป็นจังหวัดหนึ่งที่อยู่ในบริเวณชายแดนของรัฐฉาน ประเทศเมียนมา อยู่กับติดกับบริเวณพื้นที่ชายแดนอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย การข้ามแดนจะข้ามที่ด่านอำเภอแม่สาย โดยมีสะพานที่ข้าม “แม่น้ำสาย” ที่กั้นระหว่างสองประเทศ ในจุดแบ่งเขตพรมแดน คือ ประตูกลางสะพาน สิ่งแรกที่สามารถเห็นถึงความหลากหลายของกลุ่มคนในพื้นที่ชายแดนแห่งนี้ ในระหว่างทางข้ามแดนสังเกตได้ว่าป้ายโฆษณาโรงแรมทั้งสองข้างทาง ในป้ายโฆษณานั้นจะมีทั้งภาษาเมียนมาและภาษาอังกฤษ เมื่อข้ามมาถึงฝั่งจุดตรวจคนเข้าเมืองเมียนมา จะเห็นได้ชัดว่ามีรถจำนวนมากที่รอตรวจผ่านข้ามแดนทั้งขาเข้า และขาออก รวมไปถึงผู้คนที่เดินข้ามฝั่งกันไปมา ทั้งการข้ามมาซื้อขายสินค้าและข้ามมาของกลุ่มคนฝั่งไทยที่ข้ามมาทำงาน

การข้ามแดนมาซื้อขายสินค้าฝั่งนี้ และเป็นจุดแวะสำคัญของนักท่องเที่ยว คือ “ตลาดท่าล้อ” ที่ติดกับด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าขี้เหล็ก ซึ่งเป็นตลาดที่รวบรวมสินค้าหลากหลายชนิดและเป็นแหล่งการค้าทั้งขายปลีก-ขายส่ง สินค้าบางชนิดจะเหมือนกับสินค้าฝั่งไทย เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า นาฬิกา เครื่องประดับ น้ำหอม และเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่นอกเหนือจากสินค้าที่ถูกกฎหมาย สินค้าบางชนิดที่เป็นสินค้าที่ผิดกฎหมายและไม่อนุญาตให้มีการวางจำหน่ายสินค้าในฝั่งไทยนั้น ในฝั่งท่าขี้เหล็กนั้นถือเป็นสินค้าที่วางขายกันอย่างปกติและไม่ผิดกฎหมาย เช่น ยาปลุกเซกส์ เซกส์ทอย บุหรี่ไฟฟ้า และอุปกรณ์การพนันต่างๆ อีกทั้งมีผู้ให้สัมภาษณ์ที่เป็นแม่ค้าในท่าขี้เหล็กให้ข้อมูลว่าจุดนี้ยังเป็นเขตแบ่งฝั่งของคนในท่าขี้เหล็กอีกด้วย “ในจุดนี้จะแบ่งกลุ่มเก่าและกลุ่มใหม่ คนกลุ่มเก่า ได้แก่ คนไทใหญ่ กลุ่มชาติพันธุ์ และคนเนปาล ส่วนคนกลุ่มใหม่ คือ คนจีน ที่พึ่งเข้ามา ในยุคแรกของตลาดนี้จะเป็นคนป๊งทุ่น ซึ่งเป็นชาวอิสลามเข้ามาทำงาน ค่าที่แต่ละแผงตอนนี้ 60,000-70,000 บาท ต่อเดือน ใครจ่ายค่าเช่าแผงไม่ไหวก็จะใส่ตะกร้าขายข้างทางเอา”

รับชม 'ภาพเล่าเรื่อง: ท่าขี้เหล็ก เมืองที่เปลี่ยนแปลงไป' โดย กฤติมา หริ่มยิ่ง และ SAI SAR AUNG /Activist Journalist ได้ที่ prachatham.com/2024/02/20/photoessay20022567/

#เมืองท่าขี้เหล็ก
#photoessay
#lanner
#prachatham
#activistjournalist

0 - 0

Prachatham Media
Posted 10 months ago

เมืองชายแดนท่าขี้เหล็ก มีอาณาเขตติดต่อกับอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย จุดกำเนิดเกิดขึ้นจากการอพยพโยกย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานของผู้คนหลากหลายกลุ่ม นับตั้งแต่ขยายอำนาจของบรรดาเจ้านครรัฐในยุคก่อนอาณานิคม จนถึงยุคของการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมไปถึงในยุคของสงครามกลางเมืองในประเทศจีน ด้วยเหตุที่เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ชายแดนที่มีการอพยพไปมาของผู้คน ทำให้ประชากรของเมืองทั้งสองฟากฝั่งนั้นล้วนเป็นผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ เช่น ชาวไทย (คนเมือง) ไท อาข่า ไทใหญ่ พม่า ว้า และจีน

นอกเหนือจากสาเหตุจากสงครามและความไม่สงบทั้งในจีนและเมียนมาแล้ว อีกสาเหตุนั้นมาจากการพัฒนาเมืองชายแดนจากความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนระดับภูมิภาคลุ่มน้ำโขงจนเกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจในแถบภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ​ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 เป็นต้นมา ได้กลายเป็นเงื่อนไขให้เกิดการอพยพโยกย้ายชาวไทลื้อจากเมืองยองเข้ามาตั้งรกรากหรือหางานทำในเมืองชายแดนท่าขี้เหล็กเพิ่มจำนวนมากขึ้น

อ่าน 'ท่าขี้เหล็ก เมืองที่เปลี่ยนแปลงไป' โดย กฤติมา หริ่มยิ่ง และ SAI SAR AUNG /Activist Journalist ต่อได้ที่ prachatham.com/2024/02/18/18022567-01/

#ท่าขี้เหล็ก
#เมืองท่าขี้เหล็ก
#พื้นที่ชายแดน
#activistjournalist
#prachatham
#lanner

0 - 0

Prachatham Media
Posted 10 months ago

พื้นที่ เวลา และความแปรเปลี่ยน

✏️ มองมลายูผ่านเสื้อผ้า ความแตกต่างไม่ใช่ปัญหา
งานเขียนชิ้นนี้ ​ เป็นผลงานของนักศึกษาชาวมลายูจากสามจังหวัดใต้ที่ต้องการสะท้อนความเป็นมลายูผ่านเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายของชาวมลายู มีคำถามว่าทำไมคนมลายูจึงนิยมใส่ชุดมลายูเพราะอะไร และได้ติดตามความคิดเห็นของคนหลากหลายกลุ่มทั้งคนรุ่นใหม่ ผู้ประกอบการ นักวิชาการอิสระ ​ ต่อเรื่องนี้ มีความน่าสนใจที่ลึกไปกว่าการเป็นภัยต่อความมั่นคง แต่เป็นเรื่องของการอยู่ร่วมกันของสังคม และการเคารพความหลากลาย

✏️ ท่าขี้เหล็ก เมืองที่เปลี่ยนแปลงไป
กฤติมา หริ่มยิ่ง และ SAI SAR AUNG ชวนไปสำรวจบริบทพื้นที่เปลี่ยนในท่าขี้เหล็กที่มีความหลากหลายของผู้คน นำไปสู่เศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วทำให้เมืองชายแดนแห่งนี้เป็นที่สนใจของนักธุรกิจต่างชาติรายใหญ่มากขึ้น นักธุรกิจก็เริ่มเข้ามาลงทุนในการก่อสร้าง ตึกสูง อาคารพาณิชย์ คอนโดมิเนียม และบ้านจัดสรรมากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนจีน ที่ล้วนมีความต้องการเข้ามากว้านซื้อที่ดินเพื่อทำธุรกิจต่าง ๆ

✏️ ‘นายูสมองไหลไปรามฯ’ การโบยบิน อ(ยาก) จะกลับของแวรุงชายแดนใต้
การก่อตัวของ ‘ชุมชนมลายู’ กลางเมืองกรุงเทพฯ แน่นอนว่าคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะนี่คือผลของปรากฏการณ์หนีทุ่งมุ่งเมืองของเยาวชนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือเรียกให้ชัดว่านี่คือผลจาก ‘ภาวะแวรุงนายูสมองไหล’ ที่ตัดสินใจพรากจาก ‘ตาเนาะห์อุมมี’ หรือบ้านเกิดเมืองนอน มาสู่มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้ออกแบบชีวิตการเรียน ทำกิจกรรม หรือทำงานได้ด้วยตัวของพวกเขาเอง

อติรุจ ดือเระ, ฮาฟีซีน นะดารานิง และ กูอิลยัส สุดทองคง พาเดินทางไปพบกับชุมชนมลายูในซอยรามคำแหง 53 สถานที่ที่ไม่ต่างจากชายแดนใต้ ในภาวะสมองไหล พร้อมกับการค้นหาคำตอบของ บ้านที่ไม่ได้กลับ ที่อยากกลับ และฝันที่อยากทำ ของหลายชีวิต

#พื้นที่เวลาและความแปรเปลี่ยน
#activistjournalist
#lanner
#สื่อประชาธรรม

0 - 0

Prachatham Media
Posted 10 months ago

“มันจะมีคำนึงเว่ยถ้าหากว่าเราสังเกตในโซเชียล ‘บ้านเฮามันกะซำบ้านเฮาล่ะ’ อะไรแค่นั้นน่ะ ประโยคนี้มันเหมือน Propaganda (โฆษณาชวนเชื่อ) ที่บีบเราไว้ กดเราไว้ว่าอีสานหรือว่าบ้านเราเนี่ย อย่าไปอะไรมากมาย ซึ่งพี่แบบ เชี่ย! ไม่ใช่ บ้านเฮามันต้องบ่แม่นซั่มบ้านเฮา!”

เสียงบ่นของบ่าวหน้ามนคนขอนแก่น ประสานกับเสียงเอื้อนของอ้ายมนต์แคน แก่นคูนซึ่งดังมาจากลำโพงโรงลาบอีสาน ร้านที่เรานั่งเปิบข้าวอยู่ “อภิเดช วงสีสังข์” (บิ๊ก) วัย 30 กรุบ จากบ้านเข้ากรุงไปทำงาน ทิ้งเงินหลักแสนกลับขอนแก่น ปั้นแบรนด์ไวน์ด้วยเงินเก็บทั้งหมดที่มี เพราะอยากปฏิวัติการทำกินในพื้นที่ด้วยไวน์-หม่อน-เป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในบ้านเกิด เผชิญสายตาจากคนข้างนอกที่มองเข้ามาว่า อิหยังของมึงวะ เรียนจบสูงเป็นวิศวกรโก้ ๆ ในกรุงได้เงินเป็นกอบกำมันก็ดีอยู่แล้ว หรือรอเป็นเศรษฐีถูกหวยรางวัลที่หนึ่งค่อยเมียบ้านมาเฮ็ดกินแบบนี้ดีกว่าเว้ย!

“แถวบ้านเราไม่เคยพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงอะไรเลย แค่เพิ่มเสาไฟ ถนนลาดยางแค่นั้นแหละ แต่ผู้คนยังเหมือนเดิม มันจะดีขึ้นกว่านี้ได้จุดเริ่มต้นมันต้องเริ่มจากความเชื่อก่อน เรากลับมาบ้าน เราไม่ได้กลับมาทำให้มันเป็นเหมือนเดิม แต่กลับมาด้วยความเชื่อที่ว่าเราอยากเปลี่ยนให้มันเป็นชุมชนที่ดีขึ้นกว่านี้ผ่านตัวไวน์และลูกหม่อน ทำให้มันเป็นตัวชูโรงพื้นที่ของเรา”

อีสาน ภูมิภาคที่ใหญ่คนเยอะที่สุดในไทย และใช่, ยังคงเป็นภาคที่มีรายได้ต่ำสุดในประเทศตลอดกาล! วัดจาก“ผลิตภัณฑ์ภาคต่อหัว (GRP per capita)” หรือ “ค่าเฉลี่ยต่อหัว” ตัวเลขอันแสดงถึงความสามารถในการสร้างมูลค่าการผลิตสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายของภาคต่อประชากร 1 คน ยิ่งค่าเฉลี่ยสูง ศักยภาพการสร้างรายได้ยิ่งมาก

อ่าน เพราะ พ.ร.บ.สุรา มาตรา 32 ฉันจึงนอนพะงาบ, หม่อน มากกว่าอาหารไหม, ไวน์ มากกว่าของแพง, ขอนแก่น มากกว่า GPP อันดับที่ 33! โดย อธินันท์ อรรคคำ /Activist Journalist ได้ที่ prachatham.com/2024/02/15/15022567-01/

#ไวน์หม่อน
#คนรุ่นใหม่กลับบ้าน
#ไวน์ขอนแก่น
#activistjournalist
#lanner
#สื่อประชาธรรม

0 - 0

Prachatham Media
Posted 11 months ago

ข้าพเจ้าไม่รู้จะเกริ่นนำเริ่มบทความชิ้นนี้อย่างไร

ขอเริ่มจากปี พ.ศ. 2553 ​ ผู้เขียนเดินทางจากจังหวัดกาฬสินธุ์เมืองดินดำ มาอาศัยศึกษาต่อที่จังหวัดขอนแก่นเมืองแห่งดอกคูณและเสียงแคน เป็นห้วงเดียวกันกับที่ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ได้กลายเป็นผู้กำกับไทยคนแรกที่คว้ารางวัลสูงสุด ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ทิวทัศน์ของขอนแก่นในเวลานั้นเต็มไปด้วยภาพของอภิชาติพงศ์ที่ถูกติดอยู่ทั่วเมือง พร้อมข้อความแสดงความยินดี และยกให้เป็นความภาคภูมิใจของคนทั้งจังหวัด กล่าวได้ว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ผู้กำกับผู้นี้ถูกยกให้เป็นบุคคลสำคัญประจำเมือง

การที่ผู้เขียนต้องนั่งรถประจำทางสาย ขอนแก่น-มุกดาหาร ไปกลับระหว่างบ้านกับมหาวิทยาลัยอยู่บ่อย ๆ ก่อนรถจะเข้าเทียบจอดที่บขส. ต้องเคลื่อนผ่านสวนรัชดานุสรณ์ที่อยู่ติดกัน ทำให้สังเกตเห็นอนุสาวรีย์จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางความรกของแมกไม้ ในสวนสาธารณะที่ขาดการบำรุงดูแล

เกิดความสงสัยว่าทำไมขอนแก่นจึงเลือกจะยกย่องจอมพลผู้นี้ ผู้ซึ่งหลังจากเสียชีวิตพบว่ามีทรัพย์สมบัติมูลค่าหลายพันล้านบาทที่ได้มาจากการฉ้อราษฎร์ ระหว่างมีชีวิตก็มีอนุภรรยามากกว่าร้อยคน และเป็นเผด็จการที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติ ให้ขึ้นมาเป็นบุคคลสำคัญประจำเมือง จนมีการสร้างอนุสาวรีย์ขึ้นกลางเมืองเพื่อระลึกถึง มากกว่าจะเป็น ผู้กำกับระดับโลก นักมวยเหรียญทองโอลิมปิก (ซึ่งมีการถูกกล่าวถึงในคำขวัญจังหวัด) หรือนักเทนนิสมือวางอันดับ TOP 10 ของโลก

ด้วยการที่ต่อมาผู้เขียนได้ดำรงสัมมาอาชีพเป็นนักข่าว จึงโอกาสได้สัมภาษณ์ อาจารย์จำนงค์ กิติสกล ข้าราชครูเกษียณ เพื่อขุดค้นถึงช่วงเวลานึงของชีวิตอาจารย์ ที่ได้มีส่วนเล็ก ๆในการช่วยปั้นจอมพลผู้นี้ ให้ขึ้นมาเป็นบุคคลสำคัญประจำเมือง เป็นประวัติศาสตร์อีกชุดที่หาอ่านจากแหล่งอื่นไม่ได้ ประกอบกับข้อมูลอื่น ๆ ที่หาอ่านได้ทั่วไปจากออนไลน์ และในเล่มหนังสือ ผู้เขียนหวังว่าบทความชิ้นนี้ จะมีประโยชน์ต่อการเสียเวลาเข้ามาอ่านไม่มากก็น้อย

อ่าน ‘สฤษดิ์ผมช่วยปั้นมากับมือ’ การเข้ามาเป็นบุคคลสำคัญของ จอมพล ในเมืองขอนแก่น โดย สมานฉันท์ พุทธจักร ได้ที่ prachatham.com/2024/02/11/12022567/

#สฤษดิ์ธนะรัชต์
#activistjournalist
#สื่อประชาธรรม
#lanner

0 - 0

Prachatham Media
Posted 11 months ago

“เราเป็นคนเชียงดาว เราอยากทำอะไรบ้างอย่างให้เกิดขึ้นในอำเภอเชียงดาว ที่ไม่ใช่แค่เทศกาลเพื่อความสนุกเฮฮาและความต้องการ แต่มันน่าจะมีเทศกาลอื่นๆ สำหรับกลุ่มเป้าหมายอื่นๆ บ้าง ซึ่งเราอยู่เชียงดาวตั้งแต่เกิด เราก็คิดว่าพื้นที่มันพร้อมที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้หรือจัดเทศกาลที่จะทำให้เห็นภาพใหม่ ๆ ภาพลักษณ์อื่น ๆ ที่เป็นไปได้ของเชียงดาว”

เวลาย้อนมองมาที่บ้าน ที่นี่ ‘เชียงดาว’ ถิ่นเกิดที่วันนี้ฮิตติดลมบนในสายตานักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและคนต่างประเทศ ด้วยบรรยากาศที่ดี สงบ ผู้คนเป็นกันเอง บวกเข้ากับธรรมชาติที่ห้อมล้อมเชียงดาวเอาไว้ พร้อมกับดอยหลวงเชียงดาวที่ยึดโยงหัวใจของคนเชียงดาว และผูกหัวใจของนักท่องเที่ยวเอาไว้ให้ยากที่จะลืมไปว่าครั้งหนึ่งเราเคยมาเยือนที่นี่

แต่นอกจากแค่สถานที่ท่องเที่ยวแล้ว เชียงดาวยังมีความพยายามเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ของคนในเชียงดาวที่อยากสร้างสรรค์การเรียนรู้ของตัวเอง เพื่อดึงศักยภาพของคนในเชียงดาวออกมา รวมไปถึงการขยายพื้นที่เรียนรู้ให้กับเยาวชนในพื้นที่อีกด้วย เลยเกิดเป็นกิจกรรม “ตุลามาแอ่ว” เทศกาลเชียงดาวเมืองแห่งการเรียนรู้ฤดูหนาว ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อช่วงเดือนตุลาคม ปีที่ผ่านมา (2566)

อ่าน “เชียงดาวเมืองแห่งการเรียนรู้” เพราะท้องถิ่นลุกขึ้นมาจัดการเรียนรู้เองได้ โดย สุวรรณ ยาจิง, ณัฐกร อิจิโร่ กีโต้, ภาคภูมิ ชัยรังษี และสิรพัชญ์ ภักดี /Youth Teller ได้ที่ prachatham.com/2024/02/09/09022567/

#เชียงดาวเมืองแห่งการเรียนรู้
#ตุลามาแอ่ว
#Youthteller
#lanner
#สื่อประชาธรรม

2 - 0

Prachatham Media
Posted 11 months ago

ตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม 2567 เป็นต้นมา ผู้เขียนมีโอกาสไปร่วมงานกิจกรรมสำคัญในเมืองลำปางหลายแห่ง รวมถึงการใช้ช่วงเวลาเย็นของสุดสัปดาห์ไปกับการเดินถนนคนเดินกาดกองต้าและถนนสายวัฒนธรรมย่านชุมชนท่ามะโอ ​ ได้พบความแปลกใหม่อย่างหนึ่งคือมีกลุ่มคนราว 40-60% ของจำนวนผู้มาเที่ยวชมงาน สวมชุดพื้นเมืองโทนสีแดงอมชมพูคล้ายโทนสีของเค้ก Red Velvet ที่วางขายตามร้านคาเฟ่หรือเบเกอรีต่าง ๆ

“สีแบบนี้เรียกว่าสีครั่ง เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากโครงการวิจัยของ อว. (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) เพื่อส่งเสริมอาชีพให้กับกลุ่มทอผ้าย้อมสีธรรมชาติจากทั้ง 13 อำเภอของจังหวัดลำปาง และสร้างอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมใหม่ให้ลำปางเป็นเมืองหลวงแห่งผ้าครั่ง โดยมีมหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์การศึกษาลำปางเป็นแม่งาน” แม่สมพร ใจคำ ผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนกลุ่มฮอมฮักผ้าทอทุ่งฮี อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง หนึ่งในผู้ออกบูธแสดงสินค้าตามงานกิจกรรมต่าง ๆ ในจังหวัดลำปาง ได้อธิบายต่อผู้เขียนที่กำลังสงสัยในความแปลกใหม่ดังกล่าว

ผู้เขียนจึงได้กลับไปสืบค้นที่มาที่ไปของผ้าสีย้อมครั่งลำปาง อภิชัย สัชฌะไชย ผู้ประกอบการโรงงานครั่งนอร์ทเทอร์นสยามซีดแล็คในจังหวัดลำปาง เคยให้สัมภาษณ์ต่อรายการ ที่นี่บ้านเรา ตอน ลำปาง “ครั่ง” รักษ์ ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เกี่ยวกับภาพรวมของครั่งในจังหวัดลำปางว่า ชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดลำปางเพาะเลี้ยงครั่งมาเป็นเวลานานกว่า 20 – 30 ปีแล้ว แต่เพิ่งได้รับความนิยมมากขึ้นจนเกิดเป็นการเพาะเลี้ยงเชิงเกษตรเมื่อ 2 – 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่ผลผลิตทางการเกษตรอื่น ๆ ในหลายพื้นที่มีราคาตกต่ำและให้ปริมาณไม่เพียงพอที่จะส่งออกตามท้องตลาดได้

อ่าน "ลำปาง ครั่ง รักษ์: อัตลักษณ์ใหม่ ทำอย่างไรให้ทุกคนเข้าถึงและจับต้องได้" โดย รัชชา สถิตทรงธรรม /Activist Journalist ได้ที่ prachatham.com/2024/02/08/08022567-01/

#ลำปางครั่งรักษ์
#สีครั่ง
#ลําปาง
#activistjournalist
#lanner
#สื่อประชาธรรม

1 - 0