Channel Avatar

The Projectile @UCRyie6JubNKk4erdAd9Gd1A@youtube.com

3.5K subscribers - no pronouns :c

~ Nvllivs in verba จงอย่าเชื่อเพียงสดับ ~ The Projectile รา


Welcoem to posts!!

in the future - u will be able to do some more stuff here,,,!! like pat catgirl- i mean um yeah... for now u can only see others's posts :c

The Projectile
Posted 3 years ago

ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ 101

ในชั้นเรียนวิทยาศาสตร์เราคงคุ้นเคยกับการเรียนพัฒนาของแบบจำลองอะตอม ตั้งแต่สมัยกรีกโบราณจนถึงศตวรรที่ 20 ยุคแห่งฟิสิกส์ควอนตัม แล้วเรื่องอื่นๆหล่ะ! ทำไมเราจึงได้ศึกษาประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์เพียงเท่านี้ หรือมันไม่สำคัญ?

ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ ( History of science ) เป็นเรื่องราวการค้นพบต่างๆทางวิทยาศาสตร์ตั้งแต่สมัยโบราณถึงปัจจุบัน แม้ขึ้นต้นด้วยวิทยาศาสตร์แต่จริงๆแล้ว การศึกษาประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์มีมิติหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคมศาสตร์ มานุษยวิทยา ภาษา ปรัชญา ศาสนาและการเมือง การศึกษาประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์จึงต้องใช้องค์ประกอบจากมุมมองที่หลากหลายมาก สำหรับคนที่สนใจจริงและต้องการศึกษาเพื่อวิเคราะห์วิวัฒนาการของวิทยาศาสตร์ก็คงเหนื่อยอ่านในหลายมิติ แต่สำหรับคนที่มีเวลาเพียง 10 นาที ผมขอย่อยองค์ความรู้ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์โดยสังเขป ( หากต้องการศึกษาอย่างละเอียดสามารถฟังในช่องยูทูป The Projectile ได้ ) โดยหวังว่าจะเป็นข้อมูลประกอบการวิเคราะห์เพื่อตกตะกอนแนวคิดได้

ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์เริ่มต้นเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งปัญาญาเกิดขึ้นมาพร้อมกับอารยธรรมของมนุษชาติตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ( Prehistoric times ) เมื่อมนุษย์เริ่มมีการใช้ไฟก็ดูเหมือนว่าวิทยาศาสตร์ก็เริ่มต้นดังประกายไฟที่จุดติด เรามีการตั้งหลักปักฐาน สร้างอารยธรรมที่เป็นหลักแหล่ง มีการพัฒนาอาวุธในการล่าสัตว์ การทำที่นาเพื่อการเกษตร การสร้างบ้าน สิ่งเหล่านี้ต้องใช้ความรู้วิทยาศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นดาราศาสตร์ในการคำนวณวันเวลาเพื่อดูฤดูการใช้เพาะปลูก คณิตศาสตร์ที่ใช้ในคำนวณที่นาและการแลกเปลี่ยนซื้อขาย การสร้างบ้านและจัดสรรระบบชลประทาน การศึกษาร่างกายและยาสมุนไพร แนวคิดเหล่านี้เจริญรุ่งเรื่องในอารยธรรมอียิปต์โบราณ ( Ancient Egypt ), เมโสโปเตเมีย ( Mesopotamia ), บาบิโลเนีย ( Babylonia ) และอื่นๆทั่วทั้งโลก

ในสมัยต่อมาที่เกิดอารยธรรมกรีกและโรมัน ( Greco-Roman civilization ) แนวคิดเชิงปรัชญา ( Philosophy ) สร้างกระบวนการคิดและตั้งคำถามกับสิ่งรอบตัว นี่เหมือนเป็นหน่อของวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน การพัฒนาทางด้านอภิปรัญชา ( Metaphysics ), การแพทย์ ( Medicine), ดาราศาสตร์ ( Astronomy ), คณิตศาสตร์ ( Mathematics ) รุ่งเรืองถึงขีดสุด เมื่ออารยธรรมกรีกโรมันล่มสลาย ความรู้เหล่านี้ได้แพร่เข้าไปในยุโรปและตะวันออกกลาง น่าเสียดายที่อิทธิพลทางศาสนาและการเมืองในยุโรปนั้นดุเดือด สงครามและการแย่งอำนาจคงไม่เหมาะกับการเติมโตของวิทยาศาสตร์ ยุโรปเข้าสู่ยุคมืด ( Dark age ) วิทยาศาสตร์จึงไปเติบโตหยั่งรากในอารยธรรมโลกอิสลามแทนจนถือว่าเป็นยุคทอง ( Isalamic Golden Age ) คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์และการแพทย์ยุคกรีกได้รับการพัฒนาโดยนักปราชญ์โลกอาหรับและเปอร์เซีย สร้างสถาบันบัยตุลฮิกมะฮ์ ( House of Wisdom ) ณ กรุงแบกแดด

ตัดมาในตะวันออกบริเวณลุ่มแม่นำ้สินธุ ( Indus Valley civilization ) ก็เกิดการพัฒนาวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ ดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์ชิ้นสำคัญจากชาวอินเดีย ผลงานสำคัญอย่างการประดิษฐ์เลขฮินดูคงเป็นหลักฐานชั้นสำคัญที่บ่งบอกความยิ่งใหญ่ ถัดไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ อารยธรรมจีนมีการพัฒนาคณิตศาสตร์และระบบการชั่งตวงวัด การก่อสร้างและดาราศาสตร์ อาวุธยุทโธปกรณ์ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

แต่แล้วอารยธรรมของมุสลิมก็ล่มหลาย พร้อมๆกับวิทยาศาสตร์ในตะวันออกที่เริ่มคงที่ ยุโรปเหมือนได้โชคก่อนใหญ่ หลังจบยุคมืดไปก็เข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ( Renaissance ) ซึ่งในภาษาฝรั่งเศสแปลว่า การเกิดใหม่ ยุโรปย้อนกลับไปเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และศิลปะในยุคกรีกกลับมาอีกครั้ง สร้างก้าวที่สำคัญให้วิทยาศาสตร์ แต่เหมือนวิทยาศาสตร์จะไปขัดใจผู้มีอำนาจ เมื่อศาสนาจักรเอาศาสนามาเป็นเครื่องมือในการขจัดความเห็นต่างทางการเมือง วิทยาศาสตร์ก็พลอยโดนไปด้วย การปฏิรูปศาสนา ( Reformation ) เกิดขึ้นไม่นานก่อนการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ ( Scientific revolution ) แยกวิทยาศาสตร์ออกจากศาสนจักรโดยสิ้นเชิง เป็นแรงผลักสำคัญให้วิทยาศาสตร์ได้เจริญงอกงามพร้อมรับแสงสว่างแห่งปัญญาในยุคเรืองปัญญา ( Age of Enlightenment ) วิทยาศาสตร์เริ่มเป็นรูปเป็นร่างเหมือนทุกวันนี้ เกิดสาขาฟิสิกส์ ( ในสมัยนั้นเรียกว่าปรัชญาธรรมชาติ Natural philosophy ) เคมี ( พัฒนามาจากการเล่นแร่แปรธาตุ หรือ Alchemy ) และชีววิทยา ( ในสมัยนั้นเรียกว่าประวัติศาสตร์ธรรมชาติ Natural history ) ที่ศึกษาธรรมชาติ การพัฒนาด้านการแพทย์ ดาราศาสตร์ ธรณีวิทยาและสังคมศาสตร์

วิทยาศาสตร์ดำเนินจนออกดอกในช่วงศตวรรษที่ 19 ยุคที่เราเข้าใจการทำงานของแม่เหล็กไฟฟ้าและสามารถแปรสภาพออกมาเป็นนวัตกรรม สร้างความก้าวหน้าให้ชีวิตประจำวัน จากการคืนอันมืดมิดดูเหมือนจะมีแสงสว่าง และแล้วแสงสว่างก็มาถึงพร้อมกับเครื่องจักรไอนำ้ที่นำพาเราไปสู่การปฏิวัติอุสาหกรม ( Industrial Revolution ) ทำให้โลกทั้งใบเหมือนเชื่อมกันด้วยรางแห่งล้อเทคโนโลยี การค้าขาย การติดต่อสื่อสาร การผลิตต่างๆเกิดขึ้นรวดเร็วพร้อมนำพาเราเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 การค้นพบทางอวกาศ ทฤษฎีทางจักรวาลวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ควอนตัม จิตวิทยา สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาเกิดขึ้นมาจากวิทยาศาสตร์ น่าเสียดายที่เกิดสงครามใหญ่ขึ้นถึงสองครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน รู้จักในขื่อสงครามโลก ( World War I & II ) มนุษย์ได้บอบชำ้จากการทำร้ายกันด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นี่ถึงเวลาที่เราต้องวางระเบียบแบบแผนใหม่ให้วิทยาศาสตร์ การผลักดันสิทธิมนุษยชนและจริยธรรมในการทดลองทางวิทยาศาสตร์เกิดขึ้น อันเนื่องมาจากความเลวร้ายที่มีการทดลองมนุษย์ในค่ายกักกัน และการใช้อาวุธนิวเคลียร์ในการสงคราม

เราฟื้นฟู เรียนรู้บาดแผลและพร้อมก้าวต่อไป วิทยาศาสตร์ในยุคศตวรรษที่ 21 ผลิดอกงดงาม เทคโนโลยีที่เกิดจากความรู้ที่สั่งสมมาปรากฏต่อเรา ความก้าวลำ้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากยุคแอนาล็อก สู่ดิจิตอล ก้าวสู่โลดอินเทอร์เน็ตที่ทุกเข้าถูกเชื่อมเข้าด้วยกัน การพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศทำให้เรามองเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น โลกจำลองมาผสานกับโลกจริง ( Metaverse ) การใช้ปัญญาประดิษฐ์ ( artificial intelligence aka. AI ) ช่วยขับเคลื่อนโลกสู่ศตวรรษที่ 22 ภาวะปัญหาโรคระบาดและวิฤตอาการเปลี่ยนแปลง ( climate change  ) เนื่องมาจากภาวะโลกร้อน ( global warming  ) เป็นเหมือนต่อมสงสัยว่าเราใช้งานธรรมชาติมากเกินไปหรือไม่ เราควรหันกลับมาสนใจโลกหรือจะพัฒนาวิทยาศาสตร์ต่อไปโดนไม่สนใจโลกใบนี้

ที่เล่ามาคือประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์แบบสั้นมากกก ผมหวังว่าจะให้ความรู้หรือแนวคิดอะไร เพื่อต่อยอดข้อมูลและสังเคราะห์อะไรบางอย่าง เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาวิทยาศาสตร์ไม่มากก็น้อย ส่วนคำถามตอนต้นนั้นที่ว่า ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์สำคัญหรือไม่ คุณผู้อ่านคงต้องตอบตัวเองหรือแสดงความคิดเห็นใต้คอมเม้นต์ด้วยถ้อยคำที่สุภาพ

10 - 0

The Projectile
Posted 3 years ago

วิทย์ ศาสนา และปรัชญา : มองต่างแต่เหมือนกัน

เวลาเราพูดถึงวิทยาศาสตร์ ศาสนา และปรัชญา หลายคนอาจมองว่าเป็นสิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน มิหนำซำ้บางศาสตร์ก็ดูไร้สาระ ในขณะที่อีกศาสตร์ดูสูงส่ง แท้จริงแล้วนั้น ทั้งสามมีวิวัฒนาการร่วมกันอย่างแยกไม่ออก และผมคิดว่าการมองมิติทางวิทยาศาสตร์บางครั้งอาจมีส่วนที่ช่วยเมื่อเอาอีกสองศาสตร์มาประกอบ

ศาสนา ( Religion ) โดยทั่วไปหมายถึงระบบสังคมวัฒนธรรมที่กล่าวถึงความประพฤติ ความเชื่อ ศีลธรรม จริยธรรม คำสอน คัมภีร์ จิตวิญญาณ เรื่องราวเหนือธรรมชาติ ความศักดิ์สิทธิ์ มีมากมายหลายศาสนาทั่วโลก ความเชื่อดังเดิมนั้นเชื่อในพลังของธรรมชาติรอบตัว ปรากฏการณ์ต่างๆในธรรมชาติถูกนำมาใช้เป็นบุคลาธิษฐาน ( personification ) ในรูปแบบของสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเทพเจ้าในเชิงรูปธรรม เมื่อศาสนามีวิวัฒนาการเรื่องๆจึงเริ่มเกิดระบบความเชื่อ วิธีคิดที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค ศาสนาที่ถือว่ามีอิทธิพลอย่างมากต่อโลกคงหนีไม่พ้น ศาสนาในกลุ่มความเชื่ออับราฮัม ( Abrahamic religions ) ที่วางรากฐานแนวคิดเเบบเอกเทวนิยม ( monotheism ) และการเชื่อในพระเจ้าที่เป็นนามธรรม ศาสนาต่างๆมีการจัดระบบความเชื่อผ่านพิธีกรรม การสวดภาวนา การนั่งสมาธิ การมีกฎระเบียบ หล่อหลอมสังคมและมุ่งเน้นหาสัจธรรมอันจริงแท้ของชีวิตและโลกทั้งใบ การตั้งคำถามเชิงอภิปรัชญาไม่ว่า เราเป็นใคร เรามาจากไหน ใครสร้างโลก จิตคืออะไร โลกหลังความตาย สวรรค์และนรก ล้วนถูกศาสนาตอบไว้โดยสิ้นเชิง หรือคำถามเชิงจริยศาสตร์ ( ethics ) หรือคุณธรรม ( morality ) เกี่ยวกับความดีความชั่ว แม้ตรรกะเหตุผลที่ยกมานั้นจะมีรากฐานมากจากความเชื่อ ( faith ) คำตอบของเหล่านักคิดทางศาสนานั้นจึงอาจฟังไม่เข้าสำหรับนักคิดนอกกรอบบางกลุ่ม

นักคิดเหล่านี้จึงพยายามหาคำตอบที่จับต้องและพิสูจน์ได้ด้วยประสาทสัมผัสที่เรามีหรือใช้เหตุผลมากกว่าความเชื่อ เราเรียกคนเหล่านี้ว่า นักปรัชญา ( มาจากภาษาสันสกฤต เกิดจากการสร้างคำระหว่าง ปรฺ = ประเสริฐ +ชฺญา = รู้ ) และวิชาที่คนเหล่านี้สร้างคือ Philosophy ( มาจากภาษากรีก เกิดจากคำว่า philo = ความรัก + sophia = ความรู้ ) นักปรัชญาเริ่มตอบคำถามของศาสนาผ่านการใช้ตรรกวิทยา ( logic ) เพื่อให้ความคิดนั้นเฉียบคม มีเหตุผลและต่อสู้กับสิ่งที่มองว่ามอมเมาความเชื่อประชาชน นักปรัชญามีทั้งสายที่ช่วยศาสนาตอบคำถามและฝ่ายโจมตี พัฒนาข้อโต้แย้ง ( arguments )

เหล่านักคิดที่มีชื่อเสียงเกิดขึ้นบริเวณทะเลอีเจียน ( Aegean ) บริเวณดินแดนไอโอเนียน ( Ionians ) และเฮเลนิส ( Hellenes ) หรือกรีก ( Greek ) นักคิดในยุคแรกสร้างสำนักคิดที่ตอบคำถามปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ การกำเนิดโลกและสิ่งต่างๆรอยตัว คนเหล่านี้ถูกเรียกว่า physikoi ที่มาจากคำว่า physis แปลว่าธรรมชาติ เพราะพวกเขาศึกษาธรรมชาติ แนวคิดเหล่านี้วางรากฐานให้นักวิทยาศาสตร์ในสมัยต่อมา เหล่านักปรัชญานั้นก็เชื่อว่าตนจะแสวงหาสัจธรรม แต่กระบวนการใดเหล่าที่ต่างจากศาสนา ต่างจากการนั่งสมาธิหรือการสวดวิงวอนพระเจ้า พวกเค้าเชื่อว่าการได้มาทางความรู้ย่อมเกิดจากการคิดอย่างมีเหตุผล ก่อร่างเป็นพวกเหตุผลนิยม ( rationalism ) ในขณะที่อีกพวกมองว่าเพียงแต่คิดไม่ใช่ว่าจะถูก เราต้องมีการตรวจสอบให้ชัดผ่านอายตนะทั้ง 5 เกิดเป็นพวกประจักษ์นิยม ( empiricism )

ทั้งสองแนวคิดก็ร่วมสู้รบปรบมือกับศาสนา จนบางศาสนาต้องฝึกเอาวิธีคิดทางปรัชญามาประกอบเพื่อปกป้องความเชื่อตนเอง ( Apologetics ) แต่ถึงกระนั้นความจริงที่ปรากฏก็ยังเลือนลาง ชัยชนะไม่เคยเกิดขึ้นกับฝ่ายใด เพราะเหตุผลและอารมณ์เป็นที่ใช้แข่งกันไม่ได้ เกมจึงเปลี่ยนไปสู่หนทางที่เชื่อว่าจะเป็นความจริงใหม่ที่เรียกว่า วิทยาศาสตร์ ( Science ) ความหวังว่าความเชื่อและศรัทธา การตั้งข้อโต้แย้งและเหตุผลที่หาข้อลงรอยไม่ได้ วิทยาศาสตร์จะมาเป็นคนที่ช่วยดูเกมต่อให้ แม้ตอนแรกมองว่าเป็นเหมือนสามก๊กที่รบกัน แต่จริงแล้วมันคือมิตรสามคนที่มองต่างกัน แต่พยายามช่วยตอบคำถามที่มีช่วมกันอย่าง การหาสัจธรรมหรือความจริง ( truth )

น่าผิดหวังที่วิทยาศาสตร์อาจทำไม่ได้ถึงฝัน เพราะกระบวนการและวิธีคิดของวิทยาศาสตร์นั้น ไปได้เพียงการหาข้อเท็จจริง ( fact ) แม้ทั้งศาสนาและปรัชญาจะบอกว่า ตนค้นพบความจริงนั้นแล้ว แต่เราคงพูดแบบนั้นไม่ได้เสียทีเดียว วิทยาศาสตร์ทำได้มากสุดคือเข้าใกล้ความจริง นักวิทยาศาสตร์บางคนก็เชื่อว่ามันมีสิ่งที่เรียกว่าความจริงอยู่ ในขณะที่บางพวกคิดว่าไม่มีความจริง ทุกอย่างเป็นมายา ความเหลื่อมกันของคำถามและคำตอบนำมาสู่การโยงทุกอย่างเข้าหากัน พยายามหาวิธีคิดที่เป็นระบบ แต่สุดท้ายความทรงคุณค่าของความรู้นั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมันได้ให้อะไรกับเราหรือโลกใบนี้ หลายครั้งมีการใช้แว่นของศาสตร์หนึ่งไปตัดสินอีกศาสตร์ก็ดูไม่เหมาะ แต่หากเรามองแล้วต้องเข้าใจประการหนึ่งที่สำคัญคือ ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าศาสตร์ใดคือความจริง และนำพาความจริงมาปรากฏประจักษ์กับอีกฝ่ายได้ หากแต่เราศึกษาโดยใช้เหตุผลและข้อมูลมากมาย เราอาจเห็นความจริงนั้นหรือไม่ก็ได้

วิวัฒนาการของศาสนาและปรัชญาในปัจจุบันดูเหมือนจะหยุดลงตั้งแต่ศตวรรษที่ 18-19 หลังการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ ( Scientific revolution ) จนถึงการปฏิวัติอุตสาหกรรม ( Industrial revolution ) ที่วิทยาศาสตร์เป็นตัวขับเคลื่อนโลกด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี แต่เหตุใดศาสนาและปรัชญาจึงไม่ได้หายไป หรือหมดความสำคัญ มิหนำซ้ำยังได้คำตอบที่ตนไม่มีวันตอบได้จากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ผมจึงขอตั้งคำถามว่าสามสิ่งนี้ช่วยเหนือเกื้อกูลกันหรือทำลายกัน สิ่งใดที่ควรพัฒนาต่อหรือพอเท่านี้ และความจริงนั้นที่เราพยายามหาตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาตินั้นจะปรากฏต่อหน้าต่อตาเราหรือไม่?

8 - 0

The Projectile
Posted 3 years ago

🍽รสชาติที่หายไปจากวิทยาศาสตร์

หากใครชอบกินก๋วยเตี๋ยวแล้วเติมพริก น้ำตาล น้ำปลา นำ้ส้มสายชู ปรุงรสให้มีความกลมกล่อม วิทยาศาสตร์ก็เช่นกันที่มีการปรุงรสมากมาย แต่รสใดกันเล่าที่หายไปจากวิทยาศาสตร์ ทำไมวิทยาศาสตร์ดูเป็นศาสตร์ที่เชื่อมโยงโลกภายนอกได้ยาก มุมมองบางมิติที่คนเรียนวิทยาศาสตร์ในไทยมองไม่เห็น

วิทยาศาสตร์ในยุคแรกเรียกว่า ปรัชญาธรรมชาติ ( Natural philosophy ) จากการวิเคราะห์วิทยาศาสตร์ของผม ความเป็น “วิทยาศาสตร์” มีความเด่นชัดขึ้นหลังช่วงศตวรรษที่ 17 ยุคนั้นวิทยาศาสตร์เต็มไปด้วยรสชาติที่หากเราในยุคนี้มองอาจมองว่าแปลก บางสิ่งเป็นวิทยาศาสตร์ที่แฝงความไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นการอ้างข้อมูลจากคัมภีร์ไบเบิ้ลมาใช้เป็นข้อมูลในทางวิทยาศาสตร์ การเล่นแร่แปรธาตุ การเชื่อในพลังธรรมชาติสิ่งเร้นลับ หากท่านใดเคยอ่านประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์จะพบว่า วิวัฒนาการของวิทยาศาสตร์มาจากการตอบคำถามจากมุมมองทางอภิปรัชญา ( Metaphysic ) ที่ในอดีตมักโบ้ยให้เทพเจ้าแต่ต่อมาก็พยายามอธิบายในเชิงกายภาพมากขึ้น แม้ข้อมูลในอดีตหลายอย่างจะถูกหักล้าง แต่สิ่งเหล่านี้ได้ปลูกฝังมุมมองวิธีการการให้เหตุผลแบบนิรนัย ( deductive reasoning ) เป็นการนำองค์ความรู้ที่มาใช้อธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ในสมัยต่อมาการให้เหตุผลแบบอุปนัย ( inductive reasoning ) เป็นที่นิยม เพราะเป็นการสังเกต ทดลอง และสำรวจปรากฏการณ์ต่างๆ เพื่อนำมาสร้างเป็นองค์ความรู้ วิธีคิดแบบนี้มีอิทธิพลจากนักคิดสายประจักษ์นิยม ( empiricism ) แต่กระบวนการใดกันที่นักวิทยาศาสตร์เอามาใช้ต่อจากการอธิบายสิ่งต่างๆ สิ่งนั้นคือ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ( Scientific method ) โดยเริ่มจากการการตั้งคำถาม และตั้งสมมติฐาน ( hypothesis ) ซึ่งหมายถึงการคาดการคำตอบ ( conjecture ) ของการทดลองไว้ล่วงหน้าเพื่อเป็นแนวทางการศึกษา ซึ่งในแต่ละวิชาในสาขาวิทยาศาสตร์ก็จะมีการบวนการตรวจสอบสมมติฐานต่างกัน บางวิชาใช้การทดลองใน Lab บางวิชาใช้คณิตศาสตร์เป็นเครื่องมือ แต่สุดท้ายหากผลที่ออกมาค้านกับสมมติฐาน เราก็ต้องตรวจสอบการทดลองเราว่าทำถูกต้องรัดกุมหรือไม่ แต่หากการทอลองไม่มีข้อผิดพลาด เราจะไปแก้สมมติดังกล่าว ทดลองซำ้ วิเคราะห์ข้อมูลและพัฒนาสมมติฐานสู่ทฤษฎี ( Theory ) มีการใช้เหล่าผู้รู้มาช่วยกันอภิปรายตรวจสอบผลการทดลอง แต่หากเรามาดูการศึกษาวิทยาศาสตร์ด้วยกระบวนการดังกล่าว บางสาขาวิชาที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ก็สามารถใช้หลักการนี้ได้ อีกหลักการหนึ่งที่ใช้คือ Falsifiability ซึ่งเป็นหลักการที่สมมติที่ตั้งไว้ต้องเปิดโอกาสในการชี้ว่าผิดได้ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าผิดแต่ต้องมีการทดลองซำ้เพื่อชี้จุดที่เราพิจารณาสมมติฐานในทางวิทยาศาสตร์ ทำให้บางสิ่งจึงเกินกว่าขอบเขตกระบวนการที่วิทยาศาสตร์จะตอบได้ เช่นเรื่องผี จิต วิญญาณ โลกหลังความตาย การโยนหน้าที่นี้ให้นักวิทยาศาสตร์จึงไม่ค่อยเหมาะกับเครื่องมือที่นักวิทยาศาสตร์มี ซึ่งเป็นหลักการใหม่ที่นักปรัชญาวิทยาศาสตร์ชื่อ Karl Popper เสนอไว้ในงาน The Logic of Scientific Discovery ซึ่งหากมีโอกาสจะมาเล่าโดยละเอียด

จากที่เล่ามาทั้งหมดจะเห็นวิทยาศาสตร์ซ้อนกับการให้เหตุผลทางตรรกศาสตร์ ( Logic ) เป็นการประยุกต์กระบวนการทางปรัชญามาใช้ตรวจสอบกระบวนการวิทยาศาสตร์ รสชาตินี้หลายคนในประเทศไทยอาจมาไม่เห็น และไม่ตระหนักว่าการศึกษาหลักสูตรการวิจัย (research degree) ระดับ PhD ( Doctor of Philosophy ) มีคำว่า philosophy อยู่แต่การใช้มุมมองทาง philosophical นั้นหากไปจากการศึกษาวิทยาศาสตร์ ในบางครั้งเราอาจคิดว่าแค่เรียนจบวิทยาศาสตร์ก็คงจะมีการคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์แล้ว แต่จริงๆแล้วคุณจะรับรู้เพียงกระบวนการแต่ไม่ทราบถึงวิธีการคิดแต่อย่างใด

9 - 0

The Projectile
Posted 3 years ago

สื่อสารวิทยาศาสตร์ ≠ การเล่าวิทยาศาสตร์

ในชั้นเรียนมัธยมที่เรานั่งเรียนวิทยาศาสตร์ เคยย้อนคิดกันไหมว่าทำไมเมื่อเรายังเด็กถึงสนใจวิทยาศาสตร์ เต็มไปด้วยความใคร่รู้แต่พอเรียนวิทยาศาสตร์ไปเรื่อยๆกลับรู้สึกเบื่อและไม่เข้าใจ ยิ่งเรียนก็ยิ่งรู้ แต่รู้แล้วเอาไปทำอะไร? ปัญหาดังกล่าวเกิดจากความบกพร่องของการสื่อสารวิทยาศาสตร์หรือการเล่าวิทยาศาสตร์?

การสื่อสารและการเล่าวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่แตกต่างกันพอสมควร ขอเริ่มที่การเล่าวิทยาศาสตร์ก่อน เพราะเป็นสิ่งที่เข้าใจง่ายกว่า อยู่แทบทุกหาทุกแห่งในโลกประจำวัน การเล่าวิทยาศาสตร์เริ่มต้นเมื่อคุณพูดอะไรออกจากปากแล้วลมที่ออกมาคือชุดข้อมูลที่เป็นความรู้ “สำเร็จรูป” ทางวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นบทสนทนาของเด็กๆที่คุยในวงโต๊ะอาหารเพราะคาบเรียนต่อไปต้องเรียนเคมี หรือคนที่นั่งฟังคลิปยูทูปเรื่องเกี่ยวกับกลศาสตร์ควอนตัมแล้วนั่งงงอยู่หน้าจอ และคิดว่าตัวเองเข้าใจแล้ว หรือแม้แต่ครูหน้าชั้นเรียนที่กำลังอธิบายการทำงานของร่างกายในวิชาชีววิทยา การเล่าวิทยาศาสตร์นั้นเป็นเรื่องแสนง่ายที่ใครๆก็เล่าได้ เพียงอ่านหนังสือมากและจดจำข้อมูลสำเร็จรูป ส่งต่อสิ่งเหล่านี้ให้คนอื่น

บางครั้งคนเหล่านี้คิดว่า นี่ฉันเริ่มสื่อสารวิทยาศาสตร์แล้ว! ซึ่งในมุมมองผมนั้นเขาคิดผิดมหันต์ การป้อนเพียงข้อมูลที่ไม่ฝึกให้คนคิด วิเคราะห์ ตั้งคำถาม หรือเปิดมุมองแบบใหม่ที่จะเสริมสร้างความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้นั้นไม่ใช่การสื่อสารวิทยาศาสตร์ เพราะการสื่อสารต้องมีทั้งข้อมูลและกระบวนการคิด นักเล่าวิทยาศาสตร์จะยื่นการแฟลาเต้เพิ่มหวานให้ผู้ฟัง แต่นักสื่อสารจะยื่นเมล็ดกาแฟพร้อมเครื่องขั้ว ส่วนนำ้ร้อนคือหน้าที่ที่เราจะหามาเอง เหมือนผู้ฟังที่มีหน้าวิเคราะห์เพื่อตกผลึกความรู้ความเข้าใจ นักสื่อสารวิทยาศาสตร์เป็นนักเล่าวิทยาศาสตร์ได้ แต่นักเล่าวิทยาศาสตร์ต้องขัดเกลาแนวคิดของตน ผ่านการใช้หินลับมืดที่ตนชอบ ไม่ว่าจะเป็นปรัชญา ( Philosophy ) ซึ่งไม่ใช่คำสวยหรูในการดำเนินชีวิตแต่อย่างใด สิ่งที่เหล่านักเล่าวิทยาศาสตร์ขาดไปคือ การแฝงแนวคิดให้คนฟังได้ขบ ไม่ใช่เพียงแต่ขบคิดในตัวเนื้อหาแต่เป็นการขบคิดวิธีการ การมีความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อการตระหนักถึงความสำคัญในชีวิตประจำวัน การแชร์ข่าววิทยาศาสตร์ประจำวันจะไร้ค่าถ้าไม่ได้สื่อสารอะไรไปให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านได้คิด การเล่าเนื้อหาวิทยาศาสตร์ยากๆให้ง่ายเเล้วคิดเพียงว่าคือการสื่อสารก็ไร้ค่า ถ้าคนคนนั้นฟังจบแล้วไม่ศึกษาต่อ การสื่อสารให้ประยุกต์องค์ความรู้นอกกรอบวิทยาศาสตร์มาหาความเชื่อมโยงด้วยเหตุผล สร้างองค์ความรู้ใหม่จึงเป็นการสื่อสารวิทยาศาสตร์ที่ให้อะไรกับสังคม จึงไม่แปลกอะไรที่เมื่อเราฟังเรื่องเล่าวิทยาศาสตร์แล้วเบื่อ เพราะเสิร์ฟอะไรเดิมๆ แต่การสื่อสารวิทยาศาสตร์มักมาพร้อมกับเรื่องเล่าที่ให้ได้ขบคิด สร้างความเร้าใจในการศึกษา

ที่นี้ผมควรวิจารณ์ตนเองในเรื่องนี้ ( การส่องกระจกชะโงกดูเงาเป็นสิ่งสำคัญพอๆกับการขบคิดอะไร ) มักมีคนบอกผมเป็นนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ แต่ผมคิดว่ามิตินั้นหลายคนไม่ค่อยเห็น ผมมักแสดงการสื่อสารวิทยาศาสตร์แบบที่แปลกๆในการเขียนบทความ ถ้าท่านใดอ่านหลายๆบทความของผม แทบไม่มีเนื้อหาวิทยาศาสตร์ แต่แท้จริงแล้วสิ่งเหล่านี้คือการเสนอวิธีคิด ข้อมูลไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์วิทยศาสตร์ ล ผมเล่าไว้ในช่องยูทูปผ่านคลิปมากมาย แล้วเอาเรื่องที่เล่ามาสังเคราะห์เป็นข้อมูลผ่านงานเขียน ท่านผู้อ่านจะเรียกผมว่าอะไรก็ช่าง แต่ผมเป็นเพียงชายหนุ่มที่นั่งอยู่ร้านกาแฟ หาเมล็ดกาแฟที่กลมกว่าเมล็ดอื่น ในขณะที่ความจริงยังไม่เคยผุดออกมาจากหัวผมแม้แต่น้อย

12 - 0

The Projectile
Posted 3 years ago

🌌อยากฟังผู้ฟัง จาก The Projectile 🧬
อยากได้ความเห็นจากผู้ฟังว่า อยากให้ทางเราทำเนื้อหาวิทยาศาสตร์เรื่องอะไรอีก แล้วคลิปที่ผ่านมาชอบเรื่องอะไรที่สุด เพราะอะไร?

7 - 1

The Projectile
Posted 3 years ago

เปิดแล้วสำหรับ supporter สามารถร่วมสนับสนุน The Projectile เพื่อเนื้อหาสาระที่เข้มข้น คุณภาพดี และมีกำลังใจในการทำ content ออกมาเรื่อยๆ
ปล. รายได้นำไปซื้อหนังสือเพื่อ content

9 - 0

The Projectile
Posted 3 years ago

อย่กฟังรายการคุยเฟื่องเรื่องอะไรกันบ้าง 🙋🏻

10 - 1