in the future - u will be able to do some more stuff here,,,!! like pat catgirl- i mean um yeah... for now u can only see others's posts :c
ความ #ชัดเจน Clear ความสงสัย ความข้องใจต่างๆ ในเรื่องที่เป็นประเด็น จะถูกทำให้ได้รู้แจ่มแจ้ง ประจักษ์ชัด โดยทีมงานทรัสต์นิวส์
สำหรับปีใหม่ 2568 ขอให้ท่านผู้ชมทุกท่านมีความสุข ความเจริญ ก้าวย่างหยิบจับไปในเรื่องใด ก็ประสบความสำเร็จบรรลุผล ถึงเป้าหมายที่ได้หวังไว้ รวมทั้งมีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรงสมบูรณ์
HAPPY NEW YEAR 2025 😎
1 - 0
#กระชับ ไม่ได้หมายถึงสั้น...แต่หมายถึงการสร้างความเข้าใจในเนื้อหาและประเด็นที่ครบถ้วน ย่อยเรื่องยากให้เข้าใจง่าย อ่านหรือดูแล้วเข้าใจทันที ด้วยเนื้อหาไม่เยิ่นเย้อ ตรงประเด็น
ด้วยประสบการณ์ข่าวกว่า 20 ปี สำหรับปีใหม่นี้ ทีมงานทรัสต์นิวส์ ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จ ได้ใช้ชีวิตอย่างกระชับ ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน การเงิน สุขภาพและมีความสุขตลอดปี 2568
HAPPY NEW YEAR 2025 😎
0 - 0
ทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ หากเรายึดถือความ #ถูกต้อง เป็นกระดุมเม็ดแรกสู่การเริ่มต้น ผลพวงของสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้น มักนำทางไปสู่ความดีงามทั้งหลายทั้งปวงอยู่เสมอ
ฉะนั้น เรา จึงอยากให้แฟนๆ ทรัสต์นิวส์ทุกท่านใช้ความ "ถูกต้อง" นำพาชีวิตของทุกท่านไปสู่สิ่งดีงามทั้งหลายทั้งปวงที่จะเกิดขึ้นในปี 2568 นี้ด้วยกัน
HAPPY NEW YEAR 2025 😎
0 - 0
รำลึกจิตวิญญาณฮอนด้า ในวันที่ต้องรวมกันเราอยู่!
“การลงมือทำที่ปราศจากทฤษฏี ถือเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ส่วนทฤษฏีที่ปราศจากการลงมือทำ นั้นช่างไร้ค่า” คำกล่าวของ ฮอนดะ โซอิจิโร่” (Honda Soichiro) บิดาผู้ก่อตั้งฮอนด้าผู้ล่วงลับ และปัจจุบัน คำกล่าวนี้ถือเป็นปรัชญาประจำบริษัทยานยนต์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นแห่งนี้ด้วย!
เพราะอะไร “เรา” จึงต้องหยิบยกปรัชญาดังว่านี้ ขึ้นมาเป็น “หัวข้อการสนทนา” ในวันนี้ กันน่ะหรือ? ก่อนจะไปกันตรงนั้น “เรา” ขอสรุป “ปฏิบัติการรวมกันเราอยู่” ระหว่าง “ฮอนด้า” (Honda) และ “นิสสัน” (Nissan) ซึ่งจะเป็นเรื่องราวที่เชื่อมโยงไปถึง “ประโยคอันอุดมไปด้วยความจริง” ในบรรทัดแรกสุดนั้นกันเสียก่อน…
สำหรับ “ปฏิบัติการรวมกันเราอยู่” ระหว่าง “ฮอนด้าและนิสสัน” ได้คืบหน้าไปอีกขั้น หลังทั้ง 2 แบรนด์ยานยนต์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น ได้ร่วมกันลงนามใน “บันทึกความเข้าใจ” ซึ่งมีเนื้อหาระบุถึงการก่อตั้ง Holding Company ขึ้นมาดูแลเรื่องการผนึกกำลังทางธุรกิจในครั้งนี้ โดยที่ฝ่ายฮอนด้า จะรับบทบาทหน้าที่ในการเป็นผู้นำทีมบริหารชุดใหม่
โดยเบื้องต้นมีการกำหนดกรอบระยะเวลา เรื่องการกำหนดข้อตกลงการควบรวมกิจการอย่างเป็นทางการ ภายในเดือนมิถุนายน ปี 2025 และจะมีการลงนามในข้อตกลงดังกล่าวอย่างเป็นทางการ ภายในเดือนสิงหาคม ปี 2026 และนําหุ้นบริษัทใหม่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ส่วนบริษัทเดิม Honda และ Nisson จะออกจากตลาดหุ้นต่อไป
นอกจากนี้ บันทีกความเข้าใจดังกล่าว ยังมีการระบุถึง “มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ป” พันธมิตรของ “นิสสัน” ซึ่งจะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการควบรวมกิจการครั้งประวัติศาสตร์แห่งวงการรถยนต์โลกนี้ด้วย
ทั้งนี้ จากการประเมินมูลค่าตลาดของผู้ผลิตรถยนต์ทั้ง 3 แบรนด์ ในเบื้องต้นคาดว่า จะทำให้เกิด ยักษ์ตัวใหม่แห่งวงการอุตสาหกรรมยานยนต์โลก ที่มีมูลค่ามหาศาลถึงประมาณ 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.7ล้านล้านบาท)
โดยปัจจุบันทั้ง 3 บริษัทกำลังอยู่ในขั้นตอน การพิจารณาใช้ทรัพยากรหลายด้านร่วมกัน อาทิ การวิจัยและพัฒนา การจัดหาชิ้นส่วน สายพานการผลิต และแน่นอน สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับตลาดยานยนต์ในยุคนี้ คือ เทคโนโลยีในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า…
เพราะอะไรจึงต้องรวมกันเราอยู่?
สถานการณ์ของ นิสสัน (Nissan) :
ธุรกิจของ “นิสสัน” เริ่มเลวร้ายลงตามลำดับ นับตั้งแต่เกิดเรื่องอื้อฉาวต่างๆนานาจากฝีมือของ “คาร์ลอส กอส์น” (Carlos Ghosn) อดีตประธานบริษัท ซึ่งนำไปสู่การจับกุมในข้อหาฉ้อโกงและใช้ทรัพย์สินของบริษัทในทางที่ผิด ก่อนที่เจ้าตัวจะหลบหนีประกัน ไปยังประเทศเลบานอนด้วยกลยุทธ์ที่ชวนอึ้ง! เมื่อปี 2018
และล่าสุดเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัทจำเป็นต้องประกาศลดพนักงานลงมากถึง 9,000 ตำแหน่ง หรือคิดเป็น 6% ของจำนวนพนักงานทั่วโลก อีกทั้งยังต้องลดกำลังการผลิตทั่วโลกลงมากถึง 20% หลังผลประกอบการไตรมาสล่าสุด ขาดทุนเป็นตัวเลขสูงถึง 9,300 ล้านเยน! (2,018ล้านบาท)
จากปัญหายอดขายที่ร่วงลงอย่างหนักในตลาดอเมริกาเหนือและประเทศจีน จนถึงขั้นต้องปรับลดราคารถยนต์ลงอย่างมากมาย เพื่อดิ้นรนต่อสู้กับการไหลบ่าของรถยนต์จากประเทศจีน รวมถึงยังมีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ที่ล่าช้ากว่ากำหนดอีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเร็วๆนี้ “Fitch Ratings” สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ยังได้ปรับแนวโน้มความน่าเชื่อถือ ของ “นิสสัน” ให้เป็น “ลบ” (Negative) จากความสามารถในการทำกำไรที่ย่ำแย่ลง จากการปรับลดราคาครั้งใหญ่ในตลาดอเมริกาเหนือ รวมถึงมีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับโครงสร้างทางการเงินของบริษัทด้วย
และด้วยสถานการณ์อันย่ำแย่นี่เอง จึงมีกระแสข่าวแพร่สะพัดที่ว่า “เรโนลต์ เอสเอ” (Renault SA) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของยุโรป ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนที่สูงถึง 35% แสดงออกถึงความตั้งใจที่ต้องการจะ “ขายหุ้นนิสสัน” ออกไปด้วย!
สถานการณ์ของ ฮอนด้า (Honda) :
แม้ว่ายอดขายรถยนต์ไฮบริดของ “ฮอนด้า” ในตลาดอเมริกาเหนือยังคงเพิ่มขึ้นอย่างน่าพอใจ จนเป็นผลให้บริษัทคาดการณ์ว่าจะสามารถรักษาระดับ “ผลกำไร” ในปีงบประมาณ สิ้นสุดเดือนมีนาคม ปี 2025 ได้เท่ากับปีก่อน
หากแต่สิ่งที่น่าเป็นกังวล คือ ในตลาดรถยนต์ประเทศจีนและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “ฮอนด้า” กลับสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศจีน โดยเฉพาะ BYD อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าของฮอนด้า ยังตามหลังบรรดาแบรนด์จีนอยู่มากด้วยเช่นกัน
และไม่เพียงเท่านั้น “กลยุทธพันธมิตร” ระหว่างฮอนด้าและเจนเนอรัลมอเตอร์ส (GM) เพื่อร่วมมือกันในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าก่อนหน้านี้ ก็เพิ่งประสบปัญหา หลัง GM ยุติความร่วมมือในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าและถอนตัวจากธุรกิจแท็กซี่ไร้คนขับ
จากสถานการณ์ดังกล่าว เมื่อประกอบกับการที่ “ฮอนด้า” มีพันธมิตรซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรปที่มีศักยภาพจำกัดในการ “แชร์ส่วนแบ่งต้นทุนการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า” ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าเพราะอะไร “ฮอนด้าจึงต้องมองมาที่นิสสัน” เพื่อเป็นพันธมิตรคนสำคัญในการต่อสู้ธุรกิจยานยนต์ในอนาคตต่อไป
เอาล่ะ..... “ทุกท่าน” ขอจบการบรรยายสรุป “การควบรวมกิจการฮอนด้าและนิสสัน” เอาไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน!
และจากบรรทัดนี้ไป คือ หัวข้อสำคัญดังที่ “เรา” ได้ พาดหัวเรียกร้องความสนใจจาก “คุณ” ไปในบรรทัดแรกสุดนั่นคือ… อะไรคือสิ่งที่น่าลองมองย้อนกลับไป และอาจเป็นผลให้ทั้งสองบริษัทไม่จำเป็นต้อง “ควบรวมกิจการ” ในลักษณะ “รวมกันเราอยู่” เช่นนี้ก็เป็นได้!
ทฤษฏีที่ปราศจากการลงมือทำนั้นไร้ค่า (Philosophy Without Action Is Worthless) :
“พวกคุณทุกคนมาทำอะไรที่นี่? ดูเหมือนจะมาศึกษาเรื่องบริหารสินะ ถ้าว่างทำเรื่องอย่างนั้นล่ะก็ รีบกลับไปทำงานต่อที่บริษัทให้เร็วที่สุดเถอะ คิดว่ามาเข้าออนเซ็น กินดื่มแบบนี้แล้ว คิดว่าจะศึกษาเรื่องบริหารได้รึไง
หลักฐานอยู่ที่นี่ ผมไม่เคยให้ใครสอนเรื่องบริหารเลย ขนาดผู้ชายแบบผมยังบริหารบริษัทได้เลย สิ่งที่ต้องทำมีเรื่องเดียวคือ รีบกลับไปบริษัทแล้วทุ่มเททำงานซะ!” “ฮอนดะ โซอิจิโร่” (Honda Soichiro) บิดาผู้ก่อตั้งฮอนด้า
“อินาโมริ คาซึโอะ” (Inamori Kazuo) ผู้ก่อตั้ง-ผู้บริหารบริษัทเคียวเซร่า (Kyocera) และเป็นผู้กอบกู้สายการบินแห่งชาติญี่ปุ่น JAL ที่ใกล้ล่มสลายให้กลับมาพลิกฟื้นมีกำไรได้อย่างมหัศจรรย์ ได้บอกเล่าเอาไว้ในหนังสือ A Fighting Spirit ถึงเจ้าของประโยคข้างต้น
หลัง “ฮอนดะ โซอิจิโร่” ซึ่งมาในชุดเปื้อนคราบน้ำมัน ได้พูดประโยคดังกล่าวขึ้นในทันทีที่ปรากฏตัวในฐานะผู้บรรยายงานสัมมนาการบริหาร ที่มีราคาเข้ารับฟังการบรรยายที่สุดแสนแพง!
และไม่ใช่เพียงแค่นี้ ยังมีอีกหนึ่งประโยคสำคัญซึ่ง “บิดาแห่งฮอนด้า” ได้เคยกล่าวถึงปรัชญาการบริหารงานที่ว่า “เน้นประสบการณ์ในสถานการณ์จริง ไม่ใช่เน้นเพียงแค่ทฤษฏี” เอาไว้อย่างน่าสนใจและสอดคล้องกับประโยคข้างต้นนั่นก็คือ….
“คนที่จะทำการวิจัยตลาดได้ดี ต้องเป็นคนที่คิดอะไรได้หลายแง่มุม เข้าใจสถานการณ์ได้หลากหลาย และมองเห็นภาพรวมของปัญหาได้ชัดเจน แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่สำคัญด้วย!”
และ... “การทำวิจัยตลาดเป็นเพียงวิธีการส่งเสริมภาพลักษณ์ของผม แต่จะไม่สามารถเป็นปัจจัยในการกำหนดนโยบายของผมได้”
เพราะอะไร “เรา” จึงต้องยกปรัชญาของ “ฮอนดะ โซอิจิโร่” ขึ้นมาทบทวนกันในกรณี “รวมกันเราอยู่” ที่ว่านี้ นั่นก็เป็นเพราะ…. มีบทวิเคราะห์จากมุมมองของสื่อด้านเศรษฐกิจญี่ปุ่น ต่อการควบรวมกิจการครั้งนี้เอาไว้อย่างน่าสนใจที่ว่า…
“ความล้มเหลว” ในตลาดจีนของทั้งฮอนด้าและนิสสัน เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของแบรนด์ญี่ปุ่น ที่ตกเป็นเหยื่อหลุมพรางในการทำวิจัยตลาด ภายใต้ทัศนคติเดิมๆที่ว่า…
“ตราบใดที่ยังขายได้ดี ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงใดๆ”
ทั้งๆที่สภาพตลาดในปัจจุบัน นั้น มีลูกค้าเพียงไม่กี่คน ที่ซื้อเพราะชื่นชอบนิสสัน หรือ มีความผูกพันธ์กับฮอนด้าอีกแล้ว หลายๆคนซื้อรถยนต์ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ เช่น รถยนต์นิสสันมีสมรรถนะดี หรือ รถยนต์ของฮอนด้ามีราคาที่เหมาะสมและใช้ได้ดี และเมื่อใดก็ตามที่มีรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่มีจุดเด่นเรื่องนวัตกรรมที่ล้ำหน้า หรือ มีสมรรถนะเท่าเดิมแต่ราคาถูกลงออกสู่ตลาด ลูกค้าก็มักจะเปลี่ยนใจไปซื้อได้โดยไม่ลังเล!
ด้วยเหตุนี้ การควบรวมกิจการระหว่างฮอนด้าและนิสสัน จึงถือเป็น “ความท้าทายครั้งสำคัญ” สำหรับทั้งสองบริษัทในแง่ที่ว่า…จะสามารถฟื้นฟูวิสัยทัศน์ของ “บิดาแห่งฮอนด้า” ซึ่งเน้นย้ำมาโดยตลอดว่า…
“ความคิดของมนุษย์นั้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้น ความหาญกล้าในการปฏิรูปใดๆ ย่อมต้องไม่ยึดติดกับความสำเร็จในอดีต”
นอกจากนี้ ในมุมมองของสื่อญี่ปุ่น ยังมีการพูดถึงความจำเป็นเร่งด่วนลำดับต้นๆ ที่ทั้งฮอนด้าและนิสสัน ควรจะต้องรีบทำหลังจากนี้ คือ ต้องมองหาพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญด้านแบตเตอร์รี่รถยนต์ และ ซอฟต์แวร์ด้านความปลอดภัยในการขับขี่ เพื่อนำไปสู่การพัฒนากลยุทธ์แบรนด์ใหม่ ที่จะสามารถใช้ประโยชน์จากแข็งเดิมเรื่อง “คุณภาพและความน่าเชื่อถือ” ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยด้วย
อ่านมาถึงบรรทัดนี้ จากบทความอันแสนยาวยืด “คุณ” มีความคิดเห็นกันอย่างไรบ้างกับ “ปฏิบัติการรวมกันเราอยู่ของฮอนด้าและนิสสัน”
OUTFIELD MAN สำนักข่าว TRUST News
#ฮอนด้า #นิสสัน #Honda #Nissan #ควบรวมกิจการ #รถยนต์ไฟฟ้า #รถยนต์EV #ตลาดรถยนต์ #ญี่ปุ่น #OUTFIELDMAN #สำนักข่าวทรัสต์นิวส์ #Trustnews
0 - 0
เปิด‘10 ฉายาตำรวจ’ปี67 ‘บิ๊กต่าย’กัปตันเรือกู้
ศูนย์ปฏิบัติการสมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย นายไพโรจน์ เทศนิยม นายกสมาคมฯ , นายสมชาย จรรยา อุปนายกฯ , นายสุรชัย นิโครธานนท์ อุปนายกฯ , นายธนากร ริตุ เลขาสมาคมฯ และ พล.ต.ต.ดร.ชยุต มารยาทตร์ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายสมาคมฯ , นายกันตเมธส์ จโนภาส ทนายประจำสมาคมฯ พร้อมตัวแทนสื่อมวลชน ร่วมแถลงการณ์ตั้ง “ฉายาตำรวจ” ประจำปี 2567
นายไพโรจน์ กล่าวว่า ผู้สื่อข่าวสายงานด้านอาชญากรรมได้ทำงานใกล้ชิดกับแหล่งข่าวที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตลอดปีที่ผ่านมาได้เฝ้าติดตามการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจนำเสนอผลงานสู่สายตาประชาชน เพื่อสะท้อนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทุกปีได้ร่วมกันตั้งฉายาตำรวจประจำปีขึ้น ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมาโดยปราศจากอคติส่วนตัว ซึ่งเกณฑ์ในการตั้งฉายานั้น มีการประชุมร่วมกันกับตัวแทนสื่อมวลชนจากสังกัดต่าง ๆ เสนอรายชื่อนายตำรวจเข้ามาและคัดเลือกในปีนี้เหลือเพียง 10 นาย ดังนี้...
1. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ฉายา “กัปตันเรือกู้” :
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. การก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำองค์กรในวันที่ประชาชนสิ้นหวังกับตำรวจ ต้องเผชิญกับมรสุมวิกฤติศรัทธาต่อประชาชน ถือว่าเป็นงานสำคัญไม่ว่าจะเป็นเรื่องความขัดแย้งในวงการสีกากี 7 ตำรวจรุมทำร้ายประชาชน จ.ส.ต.เมากร่าง ยิงปืนขู่หน้าผับ ทองหล่อ และอีกหลายเรื่องที่จะต้องกอบกู้ ความศรัทธา ความเชื้อมัน ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนกลับคืนมา
จึงมอบนโยบาลให้แก่ตำรวจ 15 ข้อ ภายใต้วิสัยทัศน์ “เป็นตำรวจมืออาชีพ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส เพื่อให้เกิดความผาสุกแก่ประชาชน และที่สำคัญ ผู้บัญชาการ/ผู้บังคับการ จะต้องเป็น อินฟลูเอนเซอร์ ด้วยตนเอง ให้เป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง จึงเป็นที่มาของฉายา “กัปตันเรือกู้”
2. พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผบ.ตร. ฉายา “สุมาอ้อ ยอดกุนซือ” :
พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ถือว่าเป็นนายตำรวจฝีมือดีอีกท่านหนึ่งที่ทำงานเชิงรุกเก่งทั้ง บู๊และบุ๋น ด้วยความสามารถบวกกับการทำงานเชิงรุก ยอมหักไม่ยอมงอ ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชาให้คุมหน้างานภารกิจสางคดีสำคัญมอบหมายให้เป็นหัวหน้าชุดทำคดี บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด
ก่อนรวมรวบพยานหลักฐาน เปิดปฏิบัติการ หนุมานถล่มกรุง ‘ดิไอคอน’ เปิดฉากล่า 18 บอส ดิไอคอน ได้ภายในวันเดียวจบ ล่าสุดก็คดีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิง สจ.โต้ง เปิดยุทธการทลายรังนักเลงปิดล้อมปราจีนบุรี ล็อกเป้าลุยค้น 3 วัน 59 เป้าหมายยึดอาวุธเพียบ เปรียบเสมือน“สุมาอี้”จากเรื่องสามก๊ก ที่วางแผนกลยุทธ์ให้ขุนผลเผด็จศึก สื่อมวลชนจึงมอบฉายา“สุมาอ้อ ยอดกุนซือ ”
3. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผบ.ตร. ฉายา “มือปราบหน้านิ่ง” :
พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผบ.ตร. ด้วยบุคลิกที่สุขุมนุ่มลึกโดยเฉพาะใบหน้าที่ไม่มีการยิ้มให้เห็น น้อยคนนักที่จะเห็นรอยยิ้มของท่าน แต่เป็นนายตำรวจหนุ่มที่มีไฟแรง มากฝีมือได้รับมอบหมายงานด้านปราบปราม โดยเฉพาะยาเสพติด-เด็กแว้น-น้ำมันเถื่อน ในรอบปีที่ผ่านมา
จับกุมยาบ้ากว่า 1,000 ล้านเม็ด เฮโรอินกว่า 1,000 กก.ยาไอซ์กว่า 20,000 กก. เด็กแว้น 40,933 ราย และยึด อายัดทรัพย์สินความผิดที่เกี่ยวกับยาเสพติดรวมกันไม่น้อยกว่าหมื่นล้านบาท ถึงแม้จะมีการแถลงข่าวท่านก็ไม่เคยยิ้มจึงเป็นที่มาของฉายา“มือปราบหน้านิ่ง”
4. พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. ฉายา “สยาม เนรมิต” :
พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. ถือเป็น “ม้ามืด” ในการแต่งตั้งนายพลใหญ่ที่ผ่านมา ชนิดที่เรียกว่าพลิกโผ ล้มกระดานเซียน เรียกได้ว่าดุดดัง“เนรมิต”มาเลยก็ว่าได้ เนื่องจากกรุงเทพฯมีคดีอาชญากรรมข้อนข้างสูง ผู้ใหญ่หลายท่าน จึงอยากให้มาคุมเมืองหลวงเพื่อที่จะให้คดีอาชญากรรมลดลง
แต่เมื่อส่องดูประวัติ พบว่า “บิ๊กหยาม” ถือเป็นนายตำรวจที่มีความรู้ความสามารถ ผ่านการทำงานมากมาย อีกทั้งเคยเป็นผู้บังคับการคนแรก ของกองบังคับการตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904 เคยดำรงตำแหน่งเป็น ผู้บังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ และสมัยที่ดำรงตำแหน่งรองผบช.น. ก็ได้รับมอบหมายหน้างานสำคัญ ด้านกิจการพิเศษ ซึ่งไม่ขาดตกบกพร่อง จึงไม่แปลกที่จะได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง ผบช.น. จึงได้รับฉายา “สยาม เนรมิต”
5. พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ฉายา “ไซเบอร์อรรถ จัดเต็ม” :
พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. มีชื่อเล่นว่า“อรรถ” หลังเข้ามารับตำแหน่ง “แม่ทัพไซเบอร์” ได้มอบนโยบายแก่กำลังพล ชูวิสัยทัศน์ต้องเป็นที่พึ่งของประชาชน-ลดภัยออนไลน์ ขณะเดียวกันได้งัดคำสั่งตร.คุมพฤติกรรมลงดาบฟันวินัย-อาญา “ตร.นักบิน” ที่มีพฤติกรรมนอกลู่นอกทางแอบตีกินจับนอกเขตจนเสียชื่อหน่วย
พร้อมขันนอตขุนพลไซเบอร์ต้องมีผลการปฏิบัติทุกวัน ลั่นมีเวลาแค่ 10 เดือนคุมทัพ ตั้งเป้า “3 แสน” คดีออนไลน์ที่ค้างต้องเคลียร์ให้จบ ทำให้ระยะเวลาไม่ถึงเดือนเดินหน้าปราบปรามอาชญากรรมทางออนไลน์ ชนิดที่ว่ามีงานให้ออกแทบทุกวัน โดยแต่ละคดีจัดหนักจัดเต็ม จึงได้ฉายา “ไซเบอร์อรรถ จัดเต็ม”
6. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. ฉายา “นพ รอได้” :
พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. นายตำรวจผู้มากด้วยฝีไม้ลายมือขึ้นชื่อเรื่องงานสืบสวนระดับบรมอาจารย์ บ่อยครั้งมักจะถูกดึงตัวมาอยู่ในชุดทีมคลี่คลายคดีสำคัญของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หลายยุคหลายสมัย และด้วยผลงานที่ประจักษ์ต่อสังคมและสายตาประชาชน
ทำให้ถูกจับตาจากสื่อมวลชน สายตำรวจว่าในการแต่งตั้งวาระนายพลใหญ่ “รองนพศิลป์” มีสิทธิ์ที่จะถูกเสนอชื่อขึ้นเป็น ผู้บัญชาการ ติดยศ “พล.ต.ท.” แต่สุดท้ายแม้คุณสมบัติจะครบถ้วน -ไม่ได้รับการเสนอชื่อถูกขีดเส้นอาวุโส 4 ปี พูดตามประสาชาวบ้านถูกชักบันไดหนีจนชื้อหลุดกระดาน
ทั้งที่ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติปี 2565 ระบุคุณสมบัติชี้ไว้ชัดเจน ตำแหน่ง ผบช. และ จเรตำรวจ จะ แต่งตั้งจากข้าราชการตำรวจยศ พล.ต.ต. หรือ พล.ต.ท.เคยดำรงตำแหน่งระดับ รอง ผบช.หรือ รองจเรตำรวจมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี ขณะที่เจ้าตัวยิ้มรับ “ยอมรับกติกา”ก้มหน้าทำงาน จึงเป็นที่มาของฉายา “นพ รอได้”
7. พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รองผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ฉายา “เม่นรับจบ” :
พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. มีชื่อเล่นว่า “แม่น” เป็นนายตำรวจฝีมือดีที่ทำงานเชิงรุกจนได้รับความไว้วางใจดูแลงานสืบสวนของหน่วยงาน ขณะเดียวกันยังได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้เป็น ตัวแทนออกหน้าในการแถลงข่าวเผยแพร่การทำงาน
รวมถึงภารกิจต่างๆของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เห็นได้จากทุกครั้งที่มีการแถลงข่าวหรือประชาสัมพันธ์งานของสตม. จะเห็นรองเม่น ปรากฏตัวเป็นหน้าเป็นตาให้หน่วย และด้วยบุคลิกที่เข้าถึงง่าย วางตัวเป็นกันเองทำให้เป็นที่รักของ สื่อมวลชน
เวลาที่นักข่าวจะสอบถามความคืบหน้าในคดีต่างๆที่เกิดขึ้น ก็จะนึกถึงแต่ “รองเม่น” ที่จะเป็นผู้ให้รายละเอียดและชี้แจงต่างๆทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างตำรวจตม.และสื่อมวลชน เรียกว่าครบถ้วนในคนเดียว จึงได้ฉายา “เม่น รับจบ”
8. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก ฉายา “ อินฟลูฯ เต่ากัดไม่ปล่อย” :
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก หรือ “บิ๊กเต่า” เป็นนายตำรวจที่ไม่เคยเกรงกลัวอิทธิพลหรืออำนาจมืดใดๆ สร้างชื่อให้เป็นที่รู้จักจากการเป็นตำรวจที่ปราบปรามกลุ่มผู้มีอิทธิพล-ข้าราชการฉ้อฉล คดีใดที่อยู่ในมือ “รองเต่า” มักไม่ปล่อยผ่านไปง่ายๆทำให้สุดซอย ขยายผลทุกมิติ
ล่าสุดกับกรณี“คลิปเสียงเทวดา” ตบทรัพย์ “ดิไอคอน” ก็ตามล้างตามเช็ดจับกุมบรรดานักร้องเรียน-นักการเมือง ที่ทำตัวเหนือกฎหมาย ใช้หน้าที่โดยไม่ชอบขู่กรรโชกทรัพย์ และด้วยภาพลักษณ์สไตล์การทำงานที่ถึงลูกถึงคน กล้าได้กล้าเสีย มุทะลุดุดัน สื่อมวลชนจึงให้ฉายา “ อินฟลูฯ เต่ากัดไม่ปล่อย”
9. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนนครบาล (สส.บชน.) ฉายา “กุนซือมือฉมัง” :
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บชน. หนึ่งในลูกหม้อนครบาล ด้วยฝีมือระดับตำนานนักสืบ ผ่านการฝึกฝนตำราสืบสวนมาอย่างมากมาย มีผลงานโดดเด่นด้านการสืบสวนเทียบชั้นครู ขณะเดียวกันยังถ่ายทอดประสบการณ์บนเส้นทางนักสืบให้กับนักสืบรุ่นหลัง ผ่านโครงการ"หลักสูตรสืบสวนคดีอาญา" ปลุกปั้นนักสืบรุ่นใหม่ ช่วยงานสืบสวนนครบาล ปราบอาชญากรรม ในช่วงปีที่ผ่านมา
สามารถติดตามจับกุมตามหมาจับได้ 2,753 หมาย และคดีสำคัญที่เกิดขึ้นสดๆอีก 446 คดี ในการจับกุมคนร้ายต่างๆ “ผู้การจ๋อ” จะคอยให้คำแนะนำทีมงานเป็นกุนซือที่คอยวางแผนและไม่เคยพลาด จึงเป็นที่มาของฉายา กุนซือมือฉมัง
10. พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น. ฉายา “อย่าเล่นกับระบบ แจ๊ะ” :
พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น. หรือ “สารวัตรแจ๊ะ” นายตำรวจดาวรุ่งตัวตึง ของกองบังคับการสืบสวนนครบาล นรต.รุ่น 69 ศิษย์ก้นกุฏิ “ผู้การจ๋อ” ผ่านประสบการณ์ร่วมทำคดีสำคัญๆ มามากมาย ด้วยบุคลิกโดดเด่นสะดุดตา สวมหมวกไหมพรม ใส่แว่นตา ปิดแมสก์ กางเกงยีนส์ทรงกระบอก ขาดๆ ทับด้วยแจ๊กเก็ต บก.สืบนครบาล ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความทะมัดทะแมง อ่านหมายจับอย่างฉะฉาน...แฝงไปด้วยความสุภาพ
อีกทั้งมีคำพูดติดหูประจำตัว “อย่าเล่นกับระบบ” และด้วยแคแร็กเตอร์ที่เด่นชัดนี่เอง ทำให้โด่งดังรันทุกวงการ ถึงขนาดที่ว่า ดาวตลกหนุ่ม แจ๊ส ชวนชื่น หยิบเอาวลีฮิตกระฉ่อนโลกออนไลน์ของนายตำรวจหนุ่มมาดเซอร์ไปตั้งชื่อเพลง จึงเป็นที่มาของฉายา “อย่าเล่นกับระบบ แจ๊ะ”
#ฉายาตำรวจ #ปี2567 #บิ๊กต่าย #กัปตันเรือกู้ #อย่าเล่นกับระบบ #สารวัตรแจ๊ะ #ธัญพีรสิษฐ์จุลพิภพ #สำนักข่าวทรัสต์นิวส์ #Trustnews
2 - 0
Chungam Connection การเมือง-กฎอัยการศึกเกาหลีใต้
1. “ยุน ซอลยอล” (Yoon Seok Youl) : ประธานาธิบดีเกาหลีใต้
2. “คิม ยง ฮยอน” (Kim Yong-hyun) : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
3. “อี ซัง มิน” (Lee Sang Min) : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและความปลอดภัย
4. “ยอ อิน ฮยอง” (Yeo In Hyeong) : ผู้บัญชาการ กองบัญชาการต่อต้านข่าวกรอง ซึ่งดูแลงานด้านข่าวกรองความมั่นคงของชาติ
ทั้ง 4 บุคคลข้างต้นนี้ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็น “แกนหลักสำคัญ” ที่นำไปสู่การประกาศกฎอัยการศึกในวันที่ 2ธ.ค.24 นอกจากตำแหน่งแห่งหนที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลเรื่อง “งานข่าวกรองและความมั่นคง” แล้ว
“คุณ” รู้หรือไม่ว่า ทั้ง 4 คนนี้ มีอะไรที่เชื่อมโยงถึงกันอีกบ้าง?
คำตอบก็คือ.... ทั้ง 4 คนนี้ เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่จบจาก “โรงเรียนมัธยมชองอัม” (Chugam High School) ด้วยกันทั้งหมด!
ชะตากรรมของอดีตนักเรียนมัธยมชองอัม ทั้ง 4 คน จะเป็นอย่างไร? หลังจาก การประกาศกฎอัยการศึกของ “ประธานาธิบดียุน ซอลยอล” ได้นำไปสู่การ “ถอดถอนออกจากตำแหน่ง” และ “ดำเนินคดีฐานก่อการกบฏ”
วันนี้ “เรา” ค่อยๆไปสำรวจชะตากรรมของ “ชองอัมคอนเนกชัน” กับการเมืองเกาหลีใต้ที่กำลังร้อนแรงกันดีกว่า…
1. ประธานาธิบดียุน ซอลยอล :
รัฐสภาเกาหลีใต้ มีมติถอดถอนยุน ซอลยอล ออกจากตำแหน่งแล้ว และหากหลังจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้ มีคำวินิจฉัยเห็นชอบตามญัตติของรัฐสภา นายยุน ซอลยอล จะถือเป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ได้รับเอกราช ที่ต้องหลุดจากตำแหน่งจากการถูกยื่นถอดถอนโดยรัฐสภา
สถานะปัจจุบัน :
ถูกอัยการสูงสุด สั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งถือเป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนแรกในประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่เกาหลีใต้มีรัฐธรรมนูญ ที่ถูกคำสั่งห้ามดังกล่าวในระหว่างที่ยังปฏิบัติหน้าที่
และล่าสุด (สถานการณ์ ณ วันที่ 17ธ.ค.24) อัยการได้ออกหมายเรียกครั้งที่ 2 กับ “นายยุน ซอลยอล” หลังหมายเรียกครั้งแรกก่อนหน้านี้ “ไม่ได้รับความร่วมมือ”
ทำให้สื่อของเกาหลีใต้ รายงานว่า อัยการอาจพิจารณาเรื่องการ “ออกหมายจับ” หาก “นายยุน ซอลยอล” หากยังคงไม่ยินยอมเข้ามาให้การในข้อหาก่อกบฏและใช้อำนาจในทางที่ผิดต่อกรณีการประกาศกฎอัยการศึก ภายในวันเสาร์ที่ 21ธ.ค.24 นี้
ทั้งนี้ หาก “นายยุน ซอลยอล” ตัดสินใจไปเข้าพบอัยการตามหมายเรียกดังกล่าว จะถือเป็นผู้นำเกาหลีใต้ที่ยังอยู่ในวาระการดำรงตำแหน่งคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่ต้องไปปรากฎตัวต่ออัยการในฐานะ “ผู้ต้องสงสัย”
และไม่เพียงจะถูกกดดันจากการถูกสอบสวนโดยอัยการเท่านั้น ล่าสุด มีรายงานว่าภายในวันที่ 18ธ.ค.นี้ “นายยุน ซอลยอล” ได้ถูก ทีมสืบสวนพิเศษของตำรวจ , ทีมสืบสวนจากสำนักงานสืบสวนการทุจริตของเจ้าหน้าที่ระดับสูง รวมถึง ทีมสืบสวนของกระทรวงกลาโหม เรียกตัวไปทำการสอบปากคำด้วยเช่นกัน
2. คิม ยง ฮยอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม :
“คิม ยง ฮยอน” ซึ่งเป็นรุ่นพี่ของประธานาธิบดียุน ซอลยอล หนึ่งปี ที่โรงเรียนมัธยมชองอัม นั้น จากนั้นได้ไปเรียนต่อที่โรงเรียนนายร้อยทหารบกเกาหลีใต้ และเข้าทำงานในกองทัพบก ก่อนจะเกษียณในตำแหน่ง พล.ท. เมื่อปี 2017 ถือเป็นผู้ที่มีความใกล้ชิดกับประธานาธิบดียุน ซอลยอล มากที่สุด
ด้วยเหตุนี้ จึงมักได้รับมอบหมายให้ทำงานสำคัญๆอยู่เสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบการย้ายสถานที่ทำงานจากทำเนียบบูลเฮ้าส์ไปที่กระทรวงกลาโหม , ผู้รับผิดชอบการอารักขาประธานาธิบดี และล่าสุดผู้ใกล้ชิดคนสำคัญที่ให้คำแนะนำให้มีการประกาศกฎอัยการศึก
สถานะปัจจุบัน :
ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 8ธ.ค.24 ล่าสุดถูกออกหมายจับ และถูกอัยการ ควบคุมตัวเพื่อทำการสอบสวนมาตั้งแต่วันที่ 11ธ.ค.24 หลังถูกออกหมายจับฐานสมรู้ร่วมคิด และยุยงให้เกิดการก่อกบฎ
ทั้งนี้ “คิม ยง ฮยอน” ถูกควบคุมตัวเพื่อทำการสอบสวน ภายใต้มาตรการดูแลอย่างเข้มงวด หลังเคยพยายามปลิดชีพตัวเองในสถานที่ควบคุมตัวเมื่อวันที่ 10ธ.ค.24
3. อี ซัง มิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและความปลอดภัย :
รุ่นน้องโรงเรียนมัธยมชองอัม และ รุ่นน้องคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล (สถาบันที่ถือเป็นศูนย์รวมคนระดับหัวกะทิของประเทศเกาหลีใต้) ถือเป็นอีกหนึ่งคนสนิทที่ทำงานใกล้ชิดกับประธานาธิบดียุน ซอลยอล ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งผู้นำเกาหลีใต้
อย่างไรก็ดี “อี ซัง มิน” เคยต้อง “ยุติการปฏิบัติหน้าที่” เป็นเวลาถึง 5 เดือน เมื่อปี 2022 หลังถูกฝ่ายค้านยื่นญัตติถอดถอน เพื่อให้แสดงความรับผิดชอบต่อ “เหตุโศกนาฏกรรมที่อีแทวอน
อย่างไรก็ดีในเวลาต่อมา “ศาลรัฐธรรมนูญ” ได้วินิจฉัยให้ยกคำร้อง ทำให้เขากลับมาทำหน้าที่รัฐมนตรีได้อีกครั้ง
ทั้งนี้ “อี ซัง มิน” ถูกฝ่ายค้านตั้งข้อสงสัยว่า น่าจะมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสมคบกับ ประธานาธิบดียุน ซอลยอล และ “คิม ยง ฮยอน” เพื่อเตรียมแผนสำหรับการประกาศกฎอัยการศึกเอาไว้ล่วงหน้า
สถานะปัจจุบัน :
ลาออกจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 8ธ.ค.24 ปัจจุบันถูกสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศ และอยู่ภายใต้การสอบสวนอย่างเต็มรูปแบบในข้อหาก่อกบฎ
4. ยอ อิน ฮยอง : ผู้บัญชาการกองบัญชาการต่อต้านข่าวกรอง
อีกหนึ่งรุ่นน้องโรงเรียนมัธยมชองอัมของ “ประธานาธิบดียุน ซอลยอล” และเป็นผู้ทำงานใกล้ชิดและผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงของ “คิม ยง ฮยอน” อดีตรัฐมนตรีกลาโหม
สถานะปัจจุบัน :
ลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 8ธ.ค.24 ปัจจุบันถูกออกหมายจับ และถูกควบคุมตัวไปทำการสอบสวนในฐานะผู้ร่วมวางแผนการประกาศกฎอัยการศึก ร่วมกับอดีตรัฐมนตรีกลาโหม
หลังมีการค้นพบหลักฐานสำคัญว่า เป็นผู้ส่งกำลังทหารจากหน่วยต่อต้านข่าวกรองไปยังรัฐสภาและสำนักงานคณะกรรมกลางการเลือกตั้ง (สถานที่รวมตัวกันของนักการเมืองและประชาชนในการต่อต้านการประกาศใช้กฎอัยการศึก) เพื่อจับกุมนักการเมืองฝ่ายค้านคนสำคัญๆ ในเหตุการณ์เมื่อวันที่2ธ.ค.24
ทั้งนี้ “คิม ยง ฮยอน” และ “ยอ อิน ฮยอง” ปัจจุบัน ถูกตั้งข้อหาอย่างเป็นทางว่า “กระทำผิดกฎหมายอาญา มาตรา 87” (Article 87 The Criminal Code) ฐานสมรู้ร่วมคิดพยายามก่อความไม่สงบ หรือ มีการกระทำที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อโค่นล้มรัฐธรรมนูญหรืออำนาจรัฐ
อ่านมาถึงบรรทัดนี้ จากบทความอันแสนยาวยืด “คุณ” มีความคิดเห็นกันอย่างไรบ้างกับ “Chungam Connection”
OUTFIELD MAN สำนักข่าว TRUST News
#ถอดถอนประธานาธิบดี #กฎอัยการศึก #เกาหลีใต้ #ยุนซอกยอล #คิมกอนฮี #สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง #Kimgunhee #Yoonseokyoul
1 - 0
ลอบฆ่า ติดคุก ถูกขับไล่ อำนาจ ชะตากรรม อดีตผู้นำเกาหลีใต้
“คุณ” รู้หรือไม่? ประเทศเกาหลีใต้ นับตั้งแต่ได้รับเอกราชเมื่อปี 1945 เป็นต้นมา มีประธานาธิบดีรวมกันแล้วทั้งสิ้น 13 คน
แล้ว “คุณ” รู้อีกหรือไม่ว่า ในจำนวนนี้ “ส่วนใหญ่” มักประสบชะตากรรมที่ไม่ค่อยโสภานักในช่วงที่ต้อง “ปลิดปลิวไปจากอำนาจ” ซึ่งในที่นี้อาจจะรวมถึง “ประธานาธิบดียุน ซอลยอล” (Yoon Seok Youl) ผู้นำเกาหลีใต้คนปัจจุบัน ที่ ณ เวลานี้ กำลังถึงกลุ้มรุมไปด้วยแรงกระหนาบกดดันจากทั้ง “ภาคการเมือง และ ภาคประชาชน” ที่ต่างออกมาแสดงพลังคัดค้านการตัดสินใจ “ประกาศกฎอัยการศึก”
จนกระทั่งนำไปสู่ ทั้งการถูกยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่ง , เรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก รวมถึงสุ่มเสี่ยงที่อาจต้องถูกดำเนินคดีฐานก่อการกบฏ!
ชะตากรรมของผู้นำเกาหลีใต้คนปัจจุบันที่ใกล้ถึงจุดสิ้นสุดเช่นนี้ แตกต่างหรือใกล้เคียงมากน้อยเพียงใดกับ ประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนก่อนๆ ที่ใช้อำนาจภายอย่างไม่ถูกที่ถูกทาง จนถูกลอบสังหาร , ถูกขับไล่ และติดคุกติดตาราง ดังที่ “OUTFIELD MAN” ได้จั่วหัวเรียกร้องความสนใจจาก “คุณ” ในบรรทัดด้านบนโน่น…..
ฉะนั้นวันนี้ “เรา” ค่อยๆไปร่วมกันพิจารณา “ประวัติศาสตร์ผู้นำเกาหลีใต้ 101” ที่ว่านี้ด้วยกันดีกว่า!
1. ประธานาธิบดีอีซึงมัน (Rhee Syngman) :
นิยามเบื้องต้น ยื้ออำนาจ ปัดเศษแก้รัฐธรรมนูญ ที่สุดถูกขับไล่ออกนอกประเทศ
“อีซึงมัน” คือ ประธานาธิบดีจากการเลือกตั้งคนแรก ของประเทศเกาหลีใต้ หลังได้รับเอกราชและมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแรก เมื่อปี1948
อย่างไรก็ดีในช่วงระหว่างที่อยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดี (ปี1948 - ปี1960) “อีซึงมัน” ได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหลายต่อหลายครั้ง เพื่อให้สามารถอยู่ในอำนาจได้ยืนยาวที่สุด และหนึ่งในการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่นำไปสู่การสร้างความไม่พอใจให้กับเกาหลีชนมากที่สุดก็คือ… “ยกเลิกการจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี” เพื่อให้ตนเองสามารถกลับมาดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1954
ส่วนหากถามว่าเพราะอะไร? การแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ จึงเรียก “ก้อนอิฐ” ได้ชนิดอุ่นหนาฝาคั่งน่ะหรือ?
คำตอบก็คือ.... “อีซึงมัน” ใช้ “หลักคณิตศาตร์” มาทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาได้อย่างชนิดน่าตาเฉย!
คือเรื่องทั้งหมดมันเป็นแบบนี้... ในขณะนั้น รัฐสภาเกาหลีใต้มีจำนวนสมาชิกทั้งหมด 203 คน ฉะนั้นการผ่านมติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องอาศัยเสียง 2 ใน 3 ของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ เมื่อคำนวณตามหลักคณิตศาสตร์ที่ถูกต้องจะอยู่ที่ 135.33 เสียง
หากแต่ในการลงมติครั้งนั้น ฝ่ายรัฐบาลที่นำโดย “อีซึงมัน” ได้คะแนนทั้งสิ้น 135 เสียง นั่นจึงทำให้เกิดข้อถกเถียงระหว่างฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลอย่างหนักหน่วงตามมาทันทีว่า จำนวนเสียง 135 เสียงนั้นเข้าหลักเกณฑ์เสียง 2 ใน 3 ตามรัฐธรรมนูญหรือไม่? (พูดง่ายๆคือควรปัดเศษขึ้น หรือ ปัดเศษลง)
อย่างไรก็ดี แม้จะเกิดเสียงวิพากวิจารณ์อย่างล้นหลาม แต่ในที่สุด “อีซึงมัน” ก็ดึงดันให้คะแนนเสียง 135 เสียงนี้ ทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องขยายวาระการดำรงตำแหน่งสำเร็จลงจนได้ พร้อมกับเดินหน้าลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีต่อไป
และนอกจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ชี้ชัดว่า “เพื่อสืบทอดอำนาจ” แล้ว ภายใต้การบริหารประเทศในช่วงที่ผ่านมาของ “อีซึงมัน” ยังเต็มไปด้วยการทุจริตและมีการใช้อำนาจเข้าปราบปรามฝ่ายตรงกันข้ามอย่างรุนแรง
หนำซ้ำในการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ปี 1960 นอกจากจะเต็มไปด้วยการทุจริตแล้ว ยังมีการเกณฑ์กลุ่มอันธพาลจำนวนมากออกไปข่มขู่ กดดันผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง จนเป็นผลให้ตัวเองได้รับชัยชนะอย่างขาดลอยในการเลือกตั้งครั้งนั้น
ความเลวร้ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เป็นผลให้ชาวเกาหลีใต้สิ้นสุดความอดทน และพากันออกมาชุมนุมประท้วงต่อต้านผู้นำ พร้อมกับเรียกร้องให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่อย่างล้นหลาม ก่อนเหตุการณ์จะลุกลามบานปลายและทำให้เกิดการปะทะกับกำลังทหารและตำรวจที่ออกมาปราบปรามอย่างรุนแรง ในเดือนเมษายน ปี 1960
และเมื่อเห็นว่าไม่สามารถ “ควบคุมสถานการณ์” เอาไว้ได้แล้ว “อีซึงมัน” จึงตัดสินใจ “ลาออก” และ “เดินทางออกนอกประเทศ” ไปพำนักที่ฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 1960
และจากนั้นเป็นต้นมา “อีซึงมัน” ก็ไม่เคยได้กลับมาเยียบมาตุภูมิอีกเลย ตราบกระทั่งสิ้นลมหายใจอย่างโดดเดี่ยว เมื่อวันที่ 19 กรกฏาคม ปี 1965
2. ประธานาธิบดีพักจองฮี (Park Chung-hee) :
นิยามเบื้องต้น ผู้ประกาศใช้กฎอัยการศึกยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของเกาหลีใต้
“การประกาศใช้กฎอัยการศึก เป็นมาตรการที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ สำหรับการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยให้กับประเทศนี้” ประธานาธิบดีพักจองฮี (ดำรงตำแหน่ง ปี 1962 - ปี 1979)
นับตั้งแต่ก่อตั้งสาธารณเกาหลี เมื่อวันที่ 15ส.ค.1948 เป็นต้นมา “คุณ” รู้หรือไม่? มีการประกาศกฎอัยการศึกรวมกันแล้วทั้งสิ้น 17 ครั้ง (อ้างอิงข้อมูลจากสำนักข่าวของเกาหลีใต้)
ส่วนหากถามว่า ประธานาธิบดีคนไหน ที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของเกาหลีใต้ “คำตอบ” ก็คือเจ้าของวาทะข้างต้น ซึ่งก็คือ… “ประธานาธิบดีพักจองฮี” นั่นเอง (ประกาศใช้ระหว่างวันที่ 16พ.ค.1961 จนถึง เดือนธันวาคมปี 1962)
แต่ “คุณ” รู้อีกหรือไม่ว่า… แม้จะได้ชื่อว่าเป็นผู้นำเกาหลีใต้ ที่ประกาศใช้กฎอัยการศึกยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ รวมถึงยังมีการประกาศใช้อีกหลายครั้งเพื่อกำราบฝ่ายตรงข้าม (ปี 1964 , ปี 1972 และ ปี 1979)
หากแต่ในท้ายที่สุดแล้ว ประธานาธิบดีพักจองฮี กลับต้องเสียชีวิตลงจากการถูกลอบสังหารโดย “คิม แจ คยู” (Kim Jae gyu) ซึ่งถือเป็นทั้งเพื่อนสนิทและ ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองกลางแห่งชาติเกาหลีใต้ (Korean Central Intelligence Agency) หรือ KCIA ของตัวเอง!
เกริ่นมาซะขนาดนี้ “คุณ” คงเริ่มอยากรู้แล้วใช่ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น กับ ผู้นำเกาหลีใต้ท่านนี้?
เมื่อ “พักจองฮี” รัฐประหารยึดอำนาจในปี 1961 “คิม แจ คยู” ถูกจับกุมตัวเนื่องจากเชื่อว่าเขาให้การสนับสนุนฝ่ายตรงกันข้าม แต่นอกจาก “พักจองฮี” จะไม่เชื่อแล้วเขายังแต่งตั้งให้ คนบ้านเดียวกัน (ชาวเมืองกูมิ) และเพื่อนร่วมชั้น “โรงเรียนนายร้อยทหารบกเกาหลีใต้” (Korea Military Academy) ให้เป็นผู้บัญชาการกองพลที่ 6 ซึ่งเป็นกองกำลังหลักที่ใช้ในการปราบปรามการประท้วงของกลุ่มนักศึกษาที่ต่อต้านการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้อีกด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น ต่อมา “คิม แจ คยู” ยังได้รับความไว้วางใจให้นั่งเก้าอี้ ผู้บัญชาการกองบัญชาการรักษาความมั่นคงปลอดภัย (Defense Security Command) และ ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองกลางแห่งชาติเกาหลีใต้ (Korean Central Intelligence Agency) หรือ KCIA ซึ่งถือเป็นตำแหน่งสำคัญที่คอยทำหน้าที่ค้ำยันความปลอดภัยของประธานาธิบดี จากการถูกคุกคามอำนาจ โดยคนในกองทัพเสียด้วย
เมื่อมีความ “สนิทแนบชิด” กันขนาดนี้ แล้วมันเกิดเหตุการณ์ลอบสังหารได้อย่างไร?
จากรายงานข่าวของสื่อในเกาหลีใต้ ระบุว่าแท้ที่จริงแล้ว “คิม แจ คยู” เห็นต่าง กับ “ประธานาธิบดีพักจองฮี” ในเรื่องการใช้ความรุนแรงเข้าปราบปรามขบวนการนักศึกษา รวมถึงนักการเมืองฝ่ายค้านมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
แต่แล้วในที่สุด ความอดทนของเขาก็ขาดผึงลง เมื่อ ประธานาธิบดีพักจองฮี เริ่มหันไปให้ความสำคัญกับ “ชา จี ชอล” (Cha Ji Cheol) หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัย และหัวหน้าเลขาธิการประธานาธิบดี ซึ่งถือเป็น “คู่แข่งทางการเมือง” ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในทำเนียบบูลเฮ้าส์มากขึ้นทุกทีๆ
หลัง “ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาความยุ่งยากทางการเมือง” ของ “คิม แจ คยู” เริ่มล้มเหลวบ่อยครั้ง จนจุดชนวนให้มีการประท้วงต่อต้านประธานาธิบดีพักจองฮี เกิดขึ้นในหลายเมืองสำคัญๆของประเทศ
ด้วยเหตุนี้ เมื่อ “ประธานาธิบดีพักจองฮี” กล่าวตำหนิ “คิม แจ คยู” ว่าอ่อนแอเกินไปสำหรับการปราบปรามฝ่ายตรงกันข้ามต่อหน้า “ชา จี ชอล” ขณะกำลังรัปทานอาหารค่ำร่วมกันที่เซฟเฮ้าส์แห่งหนึ่งกรุงโซล เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ปี 1979
“คิม แจ คยู” ที่สะกดความไม่พอใจ และขออนุญาตออกจากห้อง ได้กลับมาอีกครั้งพร้อมอาวุธปืน และกราดยิงเข้าใส่ ประธานาธิบดีพักจองฮี และ ชา จี ชอล จนเสียชีวิตคาที่ จากนั้นได้ออกไปไล่ยิงทั้งเจ้าหน้าที่ KCIA และเหล่าบรรดาบอดี้การ์ดจนเสียชีวิตทั้งหมด
หลังลงมือสังหาร “คิม แจ คยู” ได้ทำทีไปแจ้งต่อเสนาธิการกองทัพ และ เจ้าหน้าที่ KCIA ว่า ประธานาธิบดีเสียชีวิตแล้ว แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดใดๆ ได้ขับรถยนต์ตรงไปยังกระทรวงกลาโหมเพื่อเตรียมประกาศกฎอัยการศึกในภาวะฉุกเฉิน
อย่างไรก็ดี หลังกองทัพสืบทราบว่า “ใครคือฆาตกรที่แท้จริงแล้ว” ผู้อำนวยการ KCIA จึงถูกจับกุมและถูกดำเนินคดี ก่อนจะถูกตัดสินให้ประหารชีวิตด้วยการ “แขวนคอ” พร้อมกับ คนสนิทอีก 4 คน เมื่อเดือนพฤษภาคมปี 1980
3. ประธานาธิบดีชอนดูฮวาน (Chun Doo-hwan) และ “ประธานาธิบดีโนแทอู” (Roh Tae-woo) :
นิยามเบื้องต้น คู่หูสืบทอดอำนาจ ที่สุดท้ายต้องเข้าเรือนจำฐานกบฏ
ประธานาธิบดีชอนดูฮวาน อยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีระหว่างปี 1980 - 1988
ประธานาธิบดีโนแทอู อยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีระหว่างปี 1988 - 1993
สืบเนื่องจากเหตุการณ์การลอบสังหารประธานาธิบดีพักจองฮี ทำให้เสถียรภาพทางเมืองและกองทัพเกาหลีใต้ ตกอยู่ภายใต้ความยุ่งเหยิงอยากหนัก กระทั่งนำไปสู่การลุกฮือขึ้นประท้วงต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่ ในเดือนพฤษภาคม ปี 1980
เป็นเหตุให้รักษาการประธานาธิบดี “ชเว คยู ฮา” (Choi Kyu ha) ต้องประกาศใช้กฎอัยการศึก พร้อมกับแต่งตั้งให้ “พลตรีชอนดูฮวาน” ในฐานะผู้บัญชาการกองบัญชาการรักษาความมั่นคงปลอดภัย ซึ่งขึ้นสู่อำนาจได้ จากปฏิบัติการจับกุมผู้บัญชาการทหารบกและผู้ใกล้ชิดเพื่อยึดอำนาจกองทัพ ทั้งๆที่ไม่มีคำสั่งจากรักษาการประธานาธิบดี ในวันที่ 12 ธันวาคม ปี 1979 (ในเกาหลีใต้เรียกว่าเหตุการณ์ปฏิวัติ 12/12) ขึ้นเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์
อย่างไรก็ดี “ชอนดูฮวาน” กลับใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามผู้ประท้วงอย่างรุนแรงจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก โดยเฉพาะเหตุการณ์อื้อฉาวที่เมืองควังจู (Gwangju)
และไม่เพียงเท่านั้น เขายังใช้โอกาสนี้ “กวาดล้าง” ฝ่ายตรงกันข้ามทางการเมืองไปในคราวเดียวกัน จนกระทั่งสามารถควบคุมทั้งการเมืองและกองทัพเอาไว้ในมือได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
จากนั้น เมื่อ “รักษาการประธานาธิบดี” ประกาศลาออกจากตำแหน่งในเดือนสิงหาคม “ชอนดูฮวาน” จึงได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี เมื่อวันที่ 1 กันยายน ปี 1980 และได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่กำหนดให้ประธานาธิบดีสามารถดำรงตำแหน่งได้ 1 วาระ 7 ปี ในปี 1981
หากแต่เมื่อใกล้หมดวาระการดำรงตำแหน่งในอีก 7 ปีต่อมา “ประธานาธิบดีชอนดูฮวาน” กลับยังคงแสดงท่าทีที่จะยื้ออำนาจต่อไป ด้วยการเมินเฉยต่อการประทัวงเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงยังใช้กำลังเข้าปราบปรามผู้ประท้วงอย่างรุนแรง
ยิ่งไปกว่านี้ ยังมีความพยายามเสนอชื่อคนสนิทอย่าง “พลเอกโนแทอู” (Roh Tae-woo) ลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีคนต่อไปเสียด้วย!
4 - 0
"มิโฮ นากายามะ" นักแสดงและนักร้องชาวญี่ปุ่น เสียชีวิตในวัย 54 ปี
นักร้องและนักแสดงดังชาวญี่ปุ่น "มิโฮ นากายามะ" ถูกพบร่างเสียชีวิตในอ่างอาบน้ำ ที่บ้านพักในกรุงโตเกียว รวมอายุ 54 ปี โดยสาเหตุการตายยังอยู่ระหว่างการสอบสวนสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.2567 สำนักข่าวเกียวโดของญี่ปุ่นรายงานว่า นักแสดงและนักร้องชื่อดัง มิโฮ นากายามะ เสียชีวิตลงแล้วในวัย 54 ปี โดย เจ้าหน้าที่ตัวแทนเอเจนซีของมิโฮ พบศพของเธอนอนแช่น้ำภายในอ่างอาบน้ำในบ้านพักย่านเอบิสึ เขตชิบูยะ กรุงโตเกียว ยังไม่ทราบสาเหตุของการเสียชีวิต แต่ เจ้าหน้าที่ไม่พบบันทึกหรือจดหมายใดๆ ในบ้าน ขณะที่ประตูบ้านของเธออยู่ในสภาพปิดล็อก ตำรวจกรุงโตเกียวเร่งรวบรวมหลักฐานเพื่อสืบสวนหาสาเหตุการตายต่อไป
มิโฮ นากายามะ มีคิวที่จะทำการแสดงคอนเสิร์ต คริสต์มาส ที่กรุงโอซาก้า ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่เว็บไซต์ออฟฟิเชียลของเธอระบุว่า เธอได้ยกเลิกการแสดงเนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพ โดยการแสดงครั้งสุดท้ายของเธอ คือคอนเสิร์ตที่เมืองโยโกฮามา ใกล้กรุงโตเกียว เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ประกาศอย่างเป็นทางการของเอเจนซี่ส่วนตัวของมิโฮ ระบุว่า พวกเรารู้สึกช็อกและเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการจากไปอย่างกะทันหันของมิโฮ นากายามะ สำหรับรายละเอียดสาเหตุของการเสียชีวิต อยู่ระหว่างการสอบสวนของทางตำรวจ
สำหรับมิโฮ นากายามะ เกิดเมื่อวันที่ 1 มี.ค.ปี 1970 ที่เมืองซาคุ จังหวัดนากาโนะ เธอสูง 158 ซม.เริ่มเข้าสู่วงการแสดงในปี 1985 กับละครทางโทรทัศน์ "Maido Osawagase Shimasu" จากนั้นก็มีการแสดงละครในทศวรรษที่ 80-90 ส่วนมากจะเป็นละครแนวโรแมนติกร่วมสมัย
ขณะที่ผลงานเพลงของเธอได้มีเดบิวต์ซิงเกิล "C" ในปี 1985 พร้อมทั้งได้รับชื่อเรียกในวงการว่า "มิโปริน" โดยเธอได้การตอบรับเป็นอย่างดีในงานเพลงมีออกเพลงมาอีกหลายซิงเกิล โดยเพลงฮิตของเธอ อาทิ วากุ วากุ สะเซะเตะ ในปี 1986 ต่อมาในปี 1992 เธอโด่งดังมากกับเพลงซิงเกิล เซไก จูโนะ ดาเรโยริคิตโตะ ที่เป็นการร่วมร้องกับวงร็อกที่กำลังมาแรงในช่วงนั้น คือวง WandS สามารถทำยอดขายได้มากถึง 1.8 ล้านแผ่น อีกทั้งยังเป็นเพลงประกอบละครที่เธอแสดงในเรื่อง Somebody Loves Her อีกด้วย
จากนั้นในปี 1993 มิโฮ ได้ออกซิงเกิลเพลงบัลลาดอย่าง "Shiawase ni Naru Tame ni" พร้อมทั้งยังได้ขึ้นแสดงมหกรรมเพลงขาวแดงในปีนั้นกับเพลงนี้ด้วย ต่อมาในปี 1994 มิโฮ ได้กลับมาสร้างชื่อในวงการเพลงอีกครั้งกับซิงเกิล ทาดะ นาคิตาคุ นารุโนะ ที่สามารถทำยอดขายได้ทะลุล้านแผ่น ขณะที่เธอก็มีงานแสดงว และถ่ายแบบลงนิตยสารแฟชั่นควบคู่กันไป
จากนั้นเธอชนะในการประกาศรางวัลบลูริบบอน อวอร์ดส์ ในสาขานักแสดงนำยอดเยี่ยมฝ่ายหญิงจากภาพยนตร์ "Love Letter" ในปี 1995 ทำให้เธอมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเอเชีย และ Tokyo Weather ในปี 1997 ต่อมาในปี 1998 เธอได้แสดงละครรประกบกับพระเอกนักร้องดังทาคุยะ คิมูระ ในเรื่อง Nemureru Mori ทางฟูจิทีวี และในปี 2000 ก็ได้แสดงละครที่ฉลองการเข้าสู่ปี 2000 ที่ฉายพร้อมกันในหลายประเทศรวมทั้งไทยทางช่องไอทีวี กับเรื่อง Love 2000 หรือ ปฏิบัติการรักปี 2000 คู่กับพระเอกมาดเท่ ทาเคชิ คาเนชิโร
สำหรับชีวิตส่วนตัว มิโฮ นากายามะ (中山 美穂) เคยแต่งงาน 1 ครั้งเมื่อปี 2002 กับอดีตสามี ฮิโตนาริ ทสึจิ นักดนตรีและนักแต่งเพลง และหย่ากันเมื่อปี 2014 มีบุครด้วยกัน 1 คน...
#MihoNakayama #มิโฮนากายามะ #มิโปริน #นักแสดงชาวญี่ปุ่น #RIPMihoNakaayama #ทรัสต์นิวส์ #TrustNews
0 - 1
สำนักข่าว Trust News การรวมตัวของสื่อมวลชนอาชีพที่คร่ำหวอดในการทำงานมาหลายสิบปี มีความเชี่ยวชาญข่าวการเมือง สังคม ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวไอที รายงานพิเศษ บทความ สัมภาษณ์ ที่มีดีกรีรางวัลจากสถาบันสื่อสารมวลชนระดับประเทศ