Channel Avatar

พระลึกลับ กินตับทั่วไทย @UC8Rd6gNdtHHX1o5lnWp-cKw@youtube.com

15K subscribers - no pronouns :c

เปลี่ยนพระแท้เป็นเงินสด


Welcoem to posts!!

in the future - u will be able to do some more stuff here,,,!! like pat catgirl- i mean um yeah... for now u can only see others's posts :c

พระลึกลับ กินตับทั่วไทย
Posted 4 weeks ago

#พระสมเด็จมะอะอุ เนื้อดิน พิมพ์เล็ก หลังยันต์ ๒แถว หลวงปู่ทอง วัดราชโยธา จ.กรุงเทพฯ

หลวงปู่ทอง วัดราชโยธา ท่านเป็นยอดพระเกจิที่เก่งมากๆในสมัยก่อน สหายของท่านที่ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ เพื่อแลกเปลี่ยนวิชาความรู้และวิชาอาคมต่างก็เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งยุคทั้งสิ้น

ส่วนลูกศิษย์ของหลวงปู่ทองก็มี หลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว ซึ่งเป็นศิษย์ก้นกุฏิของท่าน เพราะท่านเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้เอง และตอนที่หลวงปู่เผือกสร้างพระ หลวงปู่ทองก็ยังมอบผงศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ซึ่งท่านแบ่งมาจากสมเด็จพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี) ศิษย์พี่ของท่าน ให้หลวงปู่เผือกไปสร้างพระด้วย

นอกจากนี้ ยังมีพระเกจิอาจารย์อีกหลายท่านที่มาขอเรียนวิชาเพิ่มเติมจากหลวงปู่ทอง เช่น หลวงปู่เหลือ วัดสาวชะโงก, หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก, หลวงปู่คง วัดบางกะพ้อม, หลวงปู่จาด วัดบางกะเบา, หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ, หลวงพ่อคล้าย วัดสวนขันธ์, หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพระองค์, หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ

ในสมัยก่อนหลวงปู่ทอง ท่านเป็นพระที่มีอาวุโสสูง และทรงไว้ซึ่งวิทยาคมแก่กล้า ดังนั้นไม่ว่าใครก็ล้วนมาขอเรียนวิชาต่างๆจากท่าน สำหรับพระเครื่องวัตถุมงคลต่างๆ หลวงปู่ทองก็สร้างไว้พอสมควร แต่ปัจจุบัน ไม่ค่อยได้เห็นกัน เพราะหายากมาก คนรุ่นนั้นต่างเก็บไว้ใช้กันหมด แม้แต่ตอนสงครามอินโดจีน พระยาพหลพลพยุหเสนา อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ยังได้นิมนต์ท่านขึ้นเครื่องบิน ไปโปรยทรายเสก รอบวัดพระแก้ว และสนามหลวง รวมทั้งบริเวณใกล้เคียง เพื่อให้คุ้มครอง มิให้เป็นอันตรายจากระเบิดของข้าศึก

หลวงปู่ทองท่านเป็นพระที่ความศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง ท่านมีอภิญญาปาฏิหาริย์มากมาย แม้แต่คนจะถ่ายรูปท่าน ก็ยังถ่ายไม่ติดเลยครับ ทำให้ปัจจุบัน จึงไม่ค่อยมีรูปท่านให้เห็นกัน จะมีที่เห็นก็เพียงรูปเดียวก็คือ รูปที่บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายร่วมกันไปอ้อนวอนขอถ่ายรูปท่าน ซึ่งเป็นรูปที่ท่านกำลังลงจากกุฏิไปฉันเพลเท่านั้น หลวงปู่ทองท่านมรณภาพ ปีพ.ศ. ๒๔๘๐ อายุรวม ๑๑๗ปี นับเป็นยอดพระเกจิอาจารย์ ที่หาได้ยากยิ่งในปัจจุบัน

78 - 2

พระลึกลับ กินตับทั่วไทย
Posted 4 weeks ago

#พระสังขจายเนื้อดิน หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว กรุคูบัว
ราชบุรี

ตามประวัติมีการเล่าขานกันมาว่า
พระกรุวัดคูบัวนี้ ได้สร้างขึ้นที่วัดคูบัวแห่งนี้ ในระหว่างปี พ.ศ.๒๔๕๕ -พ.ศ.๒๔๖๐ ในช่วงที่พระอธิการไฝ เป็นเจ้าอาวาสวัดคูบัว ว่ากันว่าพระอธิการไฝ มีความสนิทสนมและนับถือท่านหลวงปู่บุญ มาก ซึ่งจะเดินทางไปกราบนมัสการอยู่เป็นประจำ พระเครื่องกรุวัดคูบัวนี้ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว เมตตาปลุกเสกให้และบรรจุกรุไว้ที่วัดคูบัวบางส่วน และบางส่วน ก็นำมาแจกให้กับญาติโยมผู้มีอุปการคุณ ที่ร่วมกันบริจาคเงิน สมทบกันสร้างถาวรวัตถุ ในสมัยนั้น
พระกรุวัดคูบัวนี้ จึงนิยมเล่นหากันเป็นพระเครื่องหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว

หลวงปู่บุญชาตะเมื่อวันจันทร์ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๘ ปีวอก จุลศักราช ๑๒๑๐ สัมฤทธิศก เวลาย่ำรุ่งใกล้สว่าง ตรงกับวันที่ ๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๓๙๑ อันเป็นปีที่ ๒๕ แห่งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓

ท่านชาตะ ณ บ้านตำบลท่าไม้ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร (ในครั้งนั้นยังเป็นตำบลบ้านนางสาว อ.ตลาดใหม่ เมืองนครชัยศรี มณฑลนครชัยศรี ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นบ้านท่าไม้ อ.สามพราน จ.นครปฐม แต่ปัจจุบันนี้ ต.ท่าไม้ ได้โอนไปขึ้นกับ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร)

โยมบิดาของหลวงปู่มีนามว่า "เส็ง" โยมมารดามีนามว่า "ลิ้ม" ท่านมี พี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน ๖ คน โดยตัวท่านเป็นคนหัวปี มีน้องชายหญิง ๕ คน ลำดับดังนี้

๑. นางเอม ๒. นางบาง ๓. นางจัน ๔. นายปาน ๕. นายคง

เหตุแห่งมีนามว่า "บุญ"

เมื่อวัยทารก ท่านมีอาการป่วยหนักถึงแก่สลบไป และไม่หายใจในที่สุด บิดามารดาและญาติ เมื่อเห็นว่า ท่านตายเสียแล้วจึงจัดแจงจะเอาท่านไปฝัง แต่ปรากฏว่ายังไม่ทันที่จะได้ฝัง ท่านก็กลับฟื้นขึ้นมา บิดามารดา ได้ถือเอาเหตุนี้ตั้งชื่อให้แก่ท่านว่า "บุญ"

การศึกษาและบรรพชา

เมื่อครั้งที่หลวงปู่ยังอยู่ในวัยเยาว์นั้น โยมทั้งสองได้ย้ายภูมิลำเนามาทำนาที่ตำบลบางช้าง อ.สามพราน เมื่อท่านอายุได้ ๑๓ ปี โยมบิดาได้ถึงแก่กรรม โยมป้าของท่านจึงนำไปฝากให้ศึกษาเล่าเรียนอยู่กับ พระปลัดทอง ณ วัดกลาง ซึ่งในสมัยนั้นมีชื่อว่า "วัดคงคาราม" ต.ปากน้ำ (ปากคลองบางแก้ว) อ.นครชัยศรี เมื่อท่าน อายุได้ ๑๕ ปีเต็มพระปลัดทองจึงทำการบรรพชาให้เป็นสามเณรและได้อบรมสั่งสอนวิชาความรู้ต่างๆ ให้ เมื่อครั้งนั้นท่านได้รับใช้อย่างใกล้ชิดจึงทำให้เป็นที่รักใคร่ของพระปลัดทอง แต่เมื่อมีอายุได้ใกล้อุปสมบท ท่านมีความจำเป็นต้องลาสิกขาเนื่องด้วยความป่วยไข้เบียดเบียน

อุปสมบท

หลวงปู่อุปสมบทเมื่ออายุได้ ๒๒ ปี ณ พัทธสีมา วัดกลางบางแก้ว เมื่อวันจันทร์เดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีมะเส็ง จุลศักราช ๑๒๓๑ เอกศก เพลาบ่าย ตรงกับวันที่ ๒๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๑๒ ในท่ามกลางที่ประชุมสงฆ์ ๓๐ รูป โดยมี พระปลัดปาน เจ้าอาวาสวัดพิไทยทาราม (วัดตุ๊กตา) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระปลัดทอง เจ้าอาวาสวัดกลางบางแก้ว พระอธิการทรัพย์ เจ้าอาวาสวัดงิ้วราย พระครูปริมานุรักษ์ วัดสุประดิษฐานราม และพระอธิการจับ เจ้าอาวาสวัดท่ามอญ ร่วมกันให้สรณาคมณ์กับศีล และสวดกรรมวาจา อนึ่ง การที่มีพระอาจารย์ร่วมพิธีถึง ๔ รูปเช่นนี้ ก็เพราะพระเถระเหล่านี้เป็นที่เคารพนับถือ ของผู้ใหญ่ที่เป็นเจ้าภาพอุปสมบท แล้วพระอุปัชฌาย์ขนานนามฉายาให้ว่า "ขนฺธโชติ" แล้วให้จำพรรษาอยู่กับพระปลัดทอง ที่วัดกลางบางแก้ว

การศึกษาทางปริยัติและปฏิบัติ

หลวงปู่บุญได้รับการวางพื้นฐานในทางธรรมมาอย่างดีแล้ว ตั้งแต่เป็นเด็กวัดและสามเณร ซึ่งช่วงระยะเวลาดังกล่าวประมาณ ๕-๖ ปี ที่ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้พระปลัดทอง จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า พื้นฐานในทางธรรมของท่านถูกถ่ายทอดมาโดยพระปลัดทองทั้งสิ้น อาจารย์อีกรูปหนึ่งของท่านก็คือ พระปลัดปาน เจ้าอาวาส วัดตุ๊กตา ซึ่งจากปากคำของพระครูธรรมวิจารณ์ (ชุ่ม) เจ้าอาวาสวัดศรีสุดาราม (วัดชีปะขาว) บางกอกน้อย เคยกล่าวไว้ว่า หลวงปู่บุญได้เล่าเรียนกรรมฐานและอาคมกับท่านปลัดปาน อันที่จริงนั้นอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาความรู้ทางธรรม ทั้งปริยัติและปฏิบัติตลอดจนพระเวท และพุทธาคมให้แก่ท่านยังมีอีกหลายรูป แต่จะกล่าวถึงในถัดไป

สมณศักดิ์และตำแหน่ง

ในปี พ.ศ. ๒๔๒๙ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอธิการปกครองวัดกลางบางแก้ว

ในปี พ.ศ.๒๔๓๑ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระกรรมวาจาจารย์

ในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะหมวด

ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ เมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ได้รับแต่งตั้งให้เป็น พระอุปัชฌาย์ ต่อมาอีก ๔ เดือน คือวันที่ ๓๐ ธันวาคม ศกเดียวกันก็ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูมีราชทินนามว่า "พระครูอุตรการบดี" และยกให้เป็นเจ้าคณะแขวง

เมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๖๒ ก็ได้รับพระกรุณาโปรดให้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ "พระครูพุทธวิถีนายก" และให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการคณะสงฆ์จังหวัดนครปฐม และ จังหวัดสุพรรณบุรี

ในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดให้เลื่อนขึ้นเป็นพระราชาคณะสามัญในราชทินนามที่ "พระพุทธวิถีนายก"

ประวัติชีวิตหลวงปู่บุญที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงส่วนย่อยในทั้งหมดของท่าน เพราะหากจะนำมาเขียนกันจริงๆ คงต้องยืดยาวมาก อีกทั้งได้มีนักเขียนหลายท่านพรรณนาไว้อย่างถูกต้องดีแล้วผู้เขียนจึงเว้นไว้เสีย ไม่นำมากล่าวถึงอีก

เมตตาธรรม

ปกติหลวงปู่เป็นพระที่มีความเมตตากรุณาแก่บุคคลทั้งหลายเป็นอันมาก ได้อุปการะพระลูกวัดตลอดจน สานุศิษย์ และเกื้อกูลชาวบ้านอยู่เป็นนิจ ตลอดอายุขัยของท่าน ทั้งนี้เกิดจากเป็นนิสัยโดยกำเนิดของท่านที่ เป็นผู้มีใจเป็นบุญกุศลและปฏิเสธการกระทำอันเป็นบาปมาตั้งแต่เยาว์วัยแล้ว

ปล่อยปลาหมดข้อง

สมัยเมื่อหลวงปู่ยังเป็นเด็กเล็กๆ อยู่กับโยมทั้งสอง ก็มีลักษณะแปลกกว่าเด็กทั้งหลายคือ ไม่ยอมฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และไม่ชอบการจับเอาสัตว์มาเล่น ทรมานเหมือนเด็กอื่นๆ โยมทั้งสองซึ่งมีอาชีพในการทำนานั้น ขณะว่างจากงานก็จะเที่ยวหาปลาตามหนองน้ำต่างๆ เพื่อมาทำอาหารบริโภคเช่นเดียวกับชาวนาทั้งหลาย และโยมทั้งสองก็มักจะเอาท่านไปด้วย เพราะท่านเป็นบุตรคนหัวปี โดยมอบหมายให้ท่านสะพายข้องใส่ปลาที่จับได้ ตอนแรกๆ ท่านไม่ยอมไปด้วย ก็ถูกโยมดุว่า ท่านจึงจนใจ ต้องสะพานย่ามติดตามโยมไปด้วย ในวันหนึ่งโยมจับปลาได้มาก ต่างก็พากันดีใจปลดปลาใส่ข้องได้หลายตัว ครั้นกลับมาถึงบ้านเตรียมนำเอาปลามาทำอาหาร พอเปิดข้องออกดูปรากฏว่า ไม่มีปลาในข้องเลยแม้แต่ตัวเดียว

เมื่อโยมถาม ท่านก็บอกว่าเอาปลาปล่อยไปตามทางหมดแล้ว เป็นอันว่าในวันนั้น แทบจะไม่มีกับข้าวรับประทานกันทั้งบ้าน โยมโกรธท่านมากและไม่ลงโทษเฆี่ยนตีท่านอย่างรุนแรง หลังจากนั้นมา โยมก็มิได้เอาท่านไปหาปลาอีกเลย และท่านก็ได้กลายเป็นเด็กที่ซึมเซาเหงาหงอย เบื่อความมีชีวิตอย่างโลกๆ

หลวงปู่เคยเล่าให้ผู้ใกล้ชิดฟังว่า ท่านมีความรู้สึกมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยแล้วว่า ชีวิตทางโลกเป็นหนทางที่มีแต่ความเบียดเบียน และมีความปรารถนาจะเข้าวัดบวชเรียนเสียเร็วๆ และก็ได้มีโอกาสบวชเป็นสามเณร เมื่ออายุได้ ๑๓ ปี และมีชีวิตในทางธรรมมาตลอด

อำนาจ ตบะเดชะ

แม้ว่าหลวงปู่จะเป็นผู้เฒ่าที่ใจดี แต่ก็ไม่วายที่จะมีคนเกรงกลัวกันมาก กล่าวกันว่าท่านเป็นผู้ที่มีอำนาจในตัว กอปรด้วยท่านเป็นคนพูดน้อย มีแววตากล้าแข็ง จึงไม่ว่าใครๆ ต่างก็พากันเกรงขามท่านกันทั้งนั้น ใครก็ตามที่มีธุระทุกข์ร้อนมาหาท่าน ท่านก็จะรับเป็นภาระช่วยบำบัดปัดเป่าทุกข์ภัยนั้น ให้ด้วยความเมตตากรุณาโดยทั่วหน้ากัน บางคนมาขอฤกษ์ หรือมาให้ท่านทำนายเกณฑ์ชะตาบอกข่าว ในคราวประสบเคราะห์กรรมต่างๆ บ้างก็ขอให้ท่านรดน้ำพุทธมนต์ หรือมิฉะนั้นก็มาขอยารักษาโรคจากท่าน ครั้นเมื่อท่านจัดการให้เรียบร้อยแล้ว ท่านก็จะนั่งนิ่งๆ ไม่พูดจาว่ากระไรอีก เมื่อคนที่มาหาท่านกราบลากลับไปท่านก็จะลงมือทำงานของท่านต่อไป โดยปรกติแล้วในวันหนึ่งๆ หลวงปู่หาเวลาว่างจริงๆ ได้ยาก ท่านทำงานของท่านตลอดเวลา เว้นแต่เวลาฉัน หรือเวลาจำวัดเท่านั้น

บุคลิกพิเศษของหลวงปู่อีกประการหนึ่งทำให้คนเกรงขามก็คือ แววนัยน์ตาอันแข็งกร้าวอย่างมีอำนาจของท่าน ทุกครั้งที่ท่านพูดกับใครนัยน์ตาคู่นี้จะจับต้องนัยน์ตาของผู้นั้นแน่นิ่งอยู่ตลอดเวลา นัยน์ตา ที่ทรง พลังอำนาจเช่นนี้อย่าว่าแต่คนธรรมดาเลย แม้ขุนโจรใจโหดก็จะไม่กล้าสู่นัยน์ตาท่านได้

ครั้งหนึ่งมีพระลูกวัด ๒-๓ องค์ แอบไถลมานั่งคุยกันเล่นอย่างสนุกสนานที่ท้ายน้ำหน้าวัด พร้อมกับร้องทักทายชาวบ้านที่พายเรือผ่านหน้าวัดไปมา โดยละเลยต่อการปฏิบัติศาสนากิจตามกำหนด หลวงปู่เดินมาเห็นเข้า พระเหล่านั้นต่างตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดเกรงท่าน มีอยู่องค์หนึ่งที่ตกใจมากกว่าเพื่อนไม่รู้ว่า จะหลบหนีหลวงปู่ไปทางไหนดี เลยโดดหนีลงไปในแม่น้ำต่อหน้าต่อตาท่านทั้งๆ ที่ตอนนั้นเป็นฤดูหนาว และน้ำในแม่น้ำก็เย็นจัด หลวงปู่ได้ร้องบอกว่า

"ขึ้นมาเถอะคุณ เดี๋ยวจะเป็นตะคริวตายเสียเปล่าๆ"

แล้วท่านก็ลงมืออบรมสั่งสอนพระเหล่านั้นให้ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง ทำให้พระทุกองค์พากันเข็ดขยาด ไปอีกนาน

อีกเรื่องหนึ่งที่หลวงพ่อไม่ชอบ ก็คือ ชาวบ้านที่ชอบนุ่งโสร่งเข้าวัด ท่านมักจะปรารภในเรื่องนี้ว่า

"การแต่งกายเป็นเครื่องสอนนิสัยใจคอคน การเข้าวัดเข้าวาไม่ควรนุ่งโสร่งลอยชาย มันไม่สุภาพ ควรนุ่งห่มให้เรียบร้อยสักหน่อยจะสมควร"

ข่าวอันนี้เมื่อล่วงรู้ไปถึงชาวบ้านละแวกนั้นเข้า ก็กลายเป็น ข้อปฏิบัติที่ว่าต่อไปเมื่อใครจะเข้าวัดจะต้องแต่งกายให้เรียบร้อย โดยจะต้องไม่นุ่งโสร่งเป็นอันขาด

อาพาธและมรณภาพ

ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๑ เป็นต้นมา ซึ่งหลวงปู่ได้รับพระกรุณาโปรดให้เป็นพระราชาคณะที่ พระพุทธวิถีนายก นั้น ท่านมีอายุได้ ๘๑ ปีแล้ว งานบริหารกิจการสงฆ์จังหวัดนครปฐมและสุพรรณบุรีที่ผ่านมา ก็ได้ดำเนินมาด้วยความเรียบร้อย กิจการศาสนาในด้านต่างๆ โดยการนำของท่านก็ประสบแต่ความเจริญรุ่งเรือง ตลอดมาด้วยดี แต่ระยะหลังๆ นี้ หลวงปู่กำลังเข้าสู่วัยชราภาพมากแล้ว สังขารก็ทรุดโทรมร่วงโรยลงไปตามวันเวลา จะเดินทางไปไหนมาไหนแต่ละครั้งก็ไม่สะดวก

ท่านจึงกราบทูลขอลาออกจากคณะสงฆ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ มีรับสั่งถามหลวงปู่ว่าเวลานี้อายุได้เท่าไร ท่านก็กราบทูลว่า ๘๑ ปีเศษ ทรงรับสั่งว่า

"จงอยู่ไปก่อนเถิด"

ท่านจึงต้องทนปฏิบัติงานต่อไปจนถึง พ.ศ. ๒๔๗๔ อายุ ๘๔ ปี ทางการคณะสงฆ์จึงเห็นเป็นการสมควรพักผ่อนเสียที โดยให้ท่านได้รับพระราชทานยศเป็นกิติมศักดิ์ จึงได้ติดต่อให้กระทรวงศึกษาธิการในสมัยนั้น นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงโปรดพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้ยกเป็นกิติมศักดิ์ หลวงปู่จึงได้พักผ่อนจากการบริหารคณะสงฆ์ คงปฏิบัติแต่กิจพระศาสนา ทำนุบำรุง พระอารามเป็นการภายในแต่นั้นเป็นต้นมา

มีหลักฐานบันทึกต่อไปถึงตอนมรณภาพของหลวงปู่ไว้ว่า

ท่านเจ้าคุณไม่เห็นแก่ความยากลำบาก มุ่งทำกิจที่เป็นสาธารณประโยชน์ทางศาสนา ด้วยความเคารพ อยู่ในธรรมเป็นประมาณ ควรกล่าวว่ามีจรรยา สมกับพุทธภาษิตที่ว่า "อโมฆ ตสฺส ชีวิตา" บุคคลผู้ประพฤติ ธรรมนั้นชีวิตไม่เป็นหมัน หรืออีกนัยหนึ่งซึ่งพ้องกับภาษิตว่า

ดูกรอานนท์ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาใดๆ ประพฤติธรรมสมควรธรรม ปฏิบัติชอบยิ่ง ปฏิบัติธรรมอยู่ ผู้นั้นเชื่อว่าเคารพนับถือบูชาแก่พระตถาคตเจ้า ด้วย การบูชาอันสูงสุดยิ่ง คือมีความเป็นอยู่ ยังหิตานุหิตประโยชน์ให้สำเร็จแก่ตนและหมู่ชนต่างๆ ชั้น ซึ่งเป็นตัวอย่างอันดี ที่ธีรชนผู้หวังคุณงามความดี น่าจะพึงดำเนินตามต่อไป

หากว่าเจ้าคุณท่านยังมีชีวิตอยู่ คงทำประโยชน์ซึ่งเป็นสาธารณะทางพระพุทธศาสนาอีกมาก แต่นี่ท่านมาถึงมรณภาพเสียเมื่อ วันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ตรงกับวันจันทร์ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๕ ปีชวด เวลา ๑๐.๔๕ น. โดยโรคคาพาธ ณ กุฏิของท่าน สิริรวมอายุท่านโดยปีได้ ๘๙ พรรษา ๖๗

ทั้งนี้ ก็เพราะสังขารของท่านประกอบด้วยชราภาพ จึงได้แปรปรวนยักย้ายไปตามธรรมดา ถึงแม้ว่าท่าน มรณภาพไปแล้วก็ดี คุณงามความดีซึ่งกระทำไว้ ก็ปรากฏตลอดมาจนบัดนี้ และคงปรากฏต่อไปอีกชั่วกาลนาน

53 - 0

พระลึกลับ กินตับทั่วไทย
Posted 4 weeks ago

#แมงภู่คำ เครื่องรางเมืองล้านนา

”แมงภู่คำ"เครื่องราง คู่บารมี พระเจ้าบุเรงนอง ยอดนิยม ใน พม่า ไทยใหญ่ ล้านนา

แมงภู่คำ" เป็นเครื่องรางของทางล้านนา ได้รับมาจากทางพม่า สำหรับเครื่องรางนี้ตามประวัติที่มีการระบุไว้ พบว่า มีการระบุข้อมูลถึงการพูด"แมงภู่คำ"ว่า อยู่บนเสลี่ยงพระเจ้าบุเรงนอง เพราะเชื่อกันว่า เป็นเครื่องรางที่ใช้กันตั้งแต่ระดับกษัตริย์จนถึงสามัญชนธรรมดา การสร้างเครื่องรางนี้ต้องหาไม้ดุมล้อเกวียนโบราณที่ทำจากไม้ประดู่แดง

“แมงภู่คำ" ในทางวิชาสายพม่านับถือมากว่า เป็นสัตว์คู่บารมีของ บายินนอง หรือพระเจ้าบุเรงนอง โดยบัลลังก์ที่พระเจ้าบุเรงนองนั่งว่าราชการทั้งสองข้างจะแกะสลัก รูปพญา"แมงภู่คำ" เฝ้าระวังรักษาอยู่ เป็นบัลลังก์ที่ ฤาษีบูบูอ่อง หรือ"พ่อครูโป๊ะโป๊ะอ่อง" บรมครูในสายวิชาปถมังสิทธิ ได้สร้างและบรรจุพญาแมงภู่คำ 8 คู่ไว้ หากพระเจ้าบุเรงนอง จะไปรบที่ใดจะนั่งบัญชาการ ณ บัลลังก์นี้ จนชนะทั่วทั้งสิบทิศ จึงถือได้ว่าเป็นสัตว์คู่บารมี ที่ช่วยพระเจ้าบุเรงนองรักษาเมืองพม่าไว้ ทางพม่ามีตำนานบันทึกเรื่องราว เกี่ยวกับ"แมงภู่คำ"อย่างละเอียดว่า เป็นแมลงมงคลศักดิ์สิทธิ์ ได้รับรัศมีทิพย์โอภาส แห่งพระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในครั้งที่ตรัสรู้บรรลุธรรมวิเศษแล้ว พญา"แมงภู่คำ"พากันบินไปยังป่าหิมพานต์ นำเอาดอกกาสลองทิพย์มารองรัตนบัลลังก์ ถวายเป็นพุทธบูชา พระพุทธองค์จึงได้ตรัสเปล่งพุทธวาจาประสิทธิ์พร แก่พญาแมงภู่นั้นว่า “เป็นสัตว์ที่ประเสริฐกว่าแมลงมีปีกทั้งหลาย”

ทำความรู้จัก เครื่องราง แห่ง ตำนาน "แมงภู่คำ" คู่บารมี พระเจ้าบุเรงนอง พิธีจัดสร้างซับซ้อน คนแกะต้องมีเชื้อเจ้าเท่านั้น

"แมงภู่คำ"นี้ นับเป็นเอกทางโชคลาภ เมตตา ส่งเสริมดวงชะตาให้มั่งคั่ง ทั้งทรัพย์สิน ยศศักดิ์ เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของผู้คนทั้งหลาย อีกทั้งยังป้องกันคุณไสยมนต์ดำ และที่สำคัญอีกอย่างคือ หากแม้นว่าผู้หนึ่งผู้ใดคิดร้ายต่อผู้บูชา พญาแมงภู่คำ จะไปทำร้ายบุคคลนั้น ให้ได้รับความเจ็บปวดและหลาบจำ ถ้าปรารถนาสิ่งใด จงอธิษฐานบอกกล่าวเอาเอง จะสมประสงค์ดังที่หวัง


การสร้างเครื่องรางนี้ต้องหาไม้ดุมล้อเกวียนโบราณที่ทำจากไม้ประดู่แดงเก่าตามตำรา มาทำเท่านั้น เป็นความเชื่อโบราณที่ว่า ไม้ดุมล้อเกวียนใช้ขับเคลื่อนไปข้างหน้า ผู้บูชาจะได้เจริญก้าวหน้าตลอดไป คนทำต้องมีเชื้อเจ้าด้วย ด้านในอุดด้วยปรอท เขย่าดังกิ๊กๆ กว่าได้ทำได้ก็รอกันเป็นปีครับ เก่าตามตำรา พุทธคุณมีมากหลายอย่าง เช่น เมตตามหาเสน่ห์ เมตตามหานิยม เมตตาค้าขาย ดีด้านโภคทรัพย์ด้วย มีพลังด้านคุ้มครอง กันภูตผีปีศาจได้ กันคุณไสยได้ เดินทางก็คุ้มครองให้ปลอดภัยได้

ปกติแมลงภู่ตอมดอกไม้ดอกใดพวกแมลงต่างรวมทั้งผึ้งต้องหลบหนีไป เพราะแมงภู่คำเป็นใหญ่กว่าหมู่ภมรทั้งหลาย แมงภู่คำสามารถเจาะแก่นไม้แข็งๆได้อย่างสบาย
ครูบาอาจารย์จึงเอาเป็นเคล็ดว่าต่อให้หญิงใจแข็งสักเท่าไรก็ไม่อาจต้านทานแมงภู่คำนี้ได้
จัดว่าเป็นเครื่องรางที่มีดีครบทุเครื่อง สามารถเตือนภัยให้เจ้าของได้ด้วย อาจสั่นหรือลางสังหรณ์บอกก่อนล่วงหน้า

สำหรับตำราการสร้าง "แมงภู่คำ" เท่าที่สามารถสืบค้นได้นั้น มีการระบุไว้ว่า

1.คนแกะต้องเป็นเชื้อเจ้าเท่านั้น
2.แกะได้เฉพาะวันที่กำหนดและในฤกษ์ที่กำหนดเท่านั้น
3.ในการปลุกเสกก็ต้องตามสุตรที่โบราณจารย์กำหนดให้ครบทุกที่คือ
-ปลุกเสกหอเจ้าเมือง
-ปลุกเสกป่าช้าบ้าน
-ปลุกเสกป่าช้าพระสงฆ์
-ปลุกเสกทางสี่แพ่ง(สี่แยก)
-ปลุกเสกท่าน้ำที่มีคนขึ้นลงจำนวนมาก
-ปลุกเสกกลางงานปอย หรือ งานอบรมสมโภช
-ปลุกเสกกลางตลาด
-ปลุกเสกที่พระธาตุเจดีย์
-ปลุกเสกในวิหาร
และ ปลุกเสกในพระอุโบสถ

นอกจากนี้ มีการกำหนดบทที่ต้องสวดในการปลุกเสกครั้งสุดท้ายด้วยก็คือ สวดบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ 3,000 จบ สัมพุทเธอีก 1,000 จบ จึงเสร็จตามตำรา

คุณวิเศษของ"แมงภู่คำ"ตามตำรานั้นดีเฉกเช่นเดียวกับเบี้ยแก้เพราะด้านในบรรจุปรอท และปรอทนั้นเป็นปรอทดักจากป่า แต่คุณวิเศษที่เพิ่มเติมมานั้น ก็คือทางด้านมหาเสน่ห์ เพราะด้านในตัวบรรจุใบมะเขือบ้าซึ่งเชื่อว่าให้คุณทางมหาเสน่ห์ ทางล้านนาโบราณไปถึงทางเชียงตุงเรื่องยาเสน่ห์นั้นต้องมีใบมะเขือบ้าเป็นส่วนผสม

มีสรรพคุณบันทึกไว้ดังนี้

1.เด่นทางเมตตามหานิยม เมตตามหาเสน่ห์ คนรักคนหลง
2.อยู่ดีมีโชค มีเงินมีทอง ซื้อง่ายขายคล่อง
3.ป้องกันภยันตรายทั้งปวงได้วิเศษนัก
4.ดับอวิชา การทำร้ายด้วยคุณไสยมนต์ดำทั้งปวง
5.ป้องกันโจรภัยได้
6.ปกป้องคุ้มครองกันภัย ที่จะกระทำต่อเด็กเล็ก
7.เดินทางใกล้ - ไกล กันภูตผีและผู้คิดร้าย เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา
ซึ่งในการสร้างจะต้องมีองค์ประกอบตามตำรา 5 ประการ คือ

1.ปะตง = รูปแมงภู่
2.ปะตา = น้ำผาตา หรือ ปรอท
3.ปะต๊อก = ไม้ประดู่แดง
4.ปะตอง = นมล้อ(ดุมล้อเทียมเกวียน)
5.ปะตู่(ปะไต) = ไม้มะเขือบ้า

ซึ่งเรียกกันว่าปะทั้ง 5 และปะทั้ง 5 นี้ เมื่อเทียบกับตัวเลขของไทยใหญ่ คือทุกปะจะเท่ากับเลข 57 และเลข 57 นี้ เป็นเลขดี สำหรับตำราไทยใหญ่ ถือว่าเลขนี้จะชนะสิ่งชั่วร้ายทั้งปวงและเป็นมงคล

43 - 2

พระลึกลับ กินตับทั่วไทย
Posted 4 weeks ago

#สักกัสสะ วะชิราวุธัง "หัวใจคาถา"กำกับในจักรพระอินทร์ หลังเหรียญหลวงปู่อินทร์ วัดโบสถ์ "เหรียญหยุดกระสุน" (ใบสาเก) จักรพระอินทร์ ขนาดพระยายม ยังต้องหลีกทางให้ และไม่มีอาวุธใดสามารถทำลายล้างได้ ภูตผีปีศาจยังมิกล้ากล้ำกลาย หัวใจคาถานี้จัดอยู่ในอาวุธ ๔ ประการ

๑ สักกัสสะ วะชิราวุธัง คือวชิราวุธ ของพระอินทร์
๒ ยะมะนัสสะ นะยะนาวุธัง คือนัยน์ตา ของพระยายม
๓ เวสสุวัณณัสสะ คะทาวุธัง คือ กระบอง ของท้าวเวสสุวรรณ
๔ อาฬะวะกัสสะ ทุสาวุธัง คือ บ่วงบาศ ของท้าววอาฬวกยักษ์

ที่ทรงอานุภาพที่สุดในสามโลก "สักกัสสะ วะชิราวุธัง เวสสุวัณนัสสะ คะธาวุธัง อาฬะวะกัสสะ ทะสาวุธัง ยมมะนัสสะ นัยยะนาวุธัง สัพเพเทวา ปีสาเจวะ อาฬะวะกาทะโย ปิจะขัคคัง ตาละปัตตัง ทิสสะวา สัพเพยักขา ปะลายันติฯ"

คาถานี้ มีอานุภาพมาก กันศาสตราวุธทุกชนิดบนโลก และ ถ้าบ้านใดมีภูตผีปีศาจดุร้าย ทำอันตรายผู้คน ให้เอาคาถาบทนี้ ทำน้ำมนต์ประพรมบ้านเรือน และเสกข้าวสารซัดทุกซอกทุกมุมบ้าน ภูตผีปีศาจหนีไปหมดสิ้น ทำน้ำมนต์ขับไล่ภูตผีปีศาจทั้งปวง ปลุกเสกได้สารพัด มีอานุภาพป้องกันภัยอันตรายต่างๆ

เหรียญรุ่นแรก ลพ.อินทร์ วัดโบสถ์ ใบสาเกกระไหร่เงิน ๒๔๙๖ (เหรียญหยุดกระสุน)รุ่น๑
ส่วนประวัติหลวงปู่ผมลงให้อ่านบ่อยมาก วันนี้ขอแนะนำคาถาที่กำกับอยู่หลังเหรียญหยุดกระสุนรุ่น๑ (หัวใจคาถา) อย่างย่อ

หลวงพ่ออินทร์ เมื่อมีอายุครบบวช จึงได้บรรพชาอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดโบสถ์ ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ ได้รับฉายาว่า "อินทโชโต" โดยมี

เจ้าอธิการกลิ่น วัดคงคาราม เป็นพระอุปัชฌาย์
เจ้าอธิการยอด วัดบ้านเลือก เป็นพระกรรมวาจาจารย์
เจ้าอธิการโลน วัดดอนตูม เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ในปี พ.ศ. ๒๔๖๗ หลังอุปสมบทได้ ๗ พรรษา วัดหนองหญ้าปล้องว่างเว้นตำแหน่งเจ้าอาวาส ชาวบ้านจึงทำการนิมนต์ท่านให้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบแทน หลังจากหลวงพ่ออินทร์รับนิมนต์​ให้ไปครองวัดหนอง​หญ้า​ปล้อง ท่านก็ได้พัฒนาวัดจนเจริญรุ่งเรืองเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้านเป็นอย่างมาก​

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๗๐ ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโบสถ์​ว่างลง เนื่องจากหลวงพ่อหรุ่น เจ้าอาวาสได้ลาสิกขา​บท ขุนเลือกซึ่งเป็นกำนันในสมัยนั้นจึงไปนิมนต์​หลวงพ่ออินทร์ กลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดโบสถ์​

หลังจากที่หลวงพ่ออินทร์ ได้กลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดโบสถ์ ท่านได้พัฒนาวัดให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นตามลำดับ ทั้งทางโลกและทางธรรม ซึ่งคุณงามความดีของหลวงพ่อทำให้ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ พระครูประสาทสังวรกิจ

ในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ หลวงพ่ออินทร์ เปิดสอนนักธรรมประจำวัดโบสถ์ เพื่อให้การศึกษาแก่พระภิกษุและสามเณร ในวัดโบสถ์และวัดใกล้เคียง

ในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ หลวงพ่ออินทร์ เปิดโรงเรียนประชาบาลประจำวัดโบสถ์ เพื่อสอนหนังสือแก่บุตร-ธิดา ในพื้นที่วัดโบสถ์

หลวงปู่อินทร์ อินทโชโต ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากพุทธศาสนิกชนทั่วไป ด้วยท่านมีวิทยาคมแก่กล้า พลังสมาธิจิตอยู่ในระดับสูง ปลุกเสกของต่างๆได้ขลังนัก ของขลังต่างๆที่ผ่านมือหลวงพ่อล้วนมีความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ต้องการของชาวบ้านเป็นอย่างยิ่ง

หลวงพ่ออินทร์ ท่านยังมีความรู้ความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในด้านแพทย์แผนโบราณ สามารถบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บ แม้แต่ชานหมากของท่านยังขับไล่พิษงูได้อย่างเหลือเชื่อ วิชาอาคมเลื่องลือในเรื่องขับไล่ภูติผีปีศาจ น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์มีอานุภาพทางสะเดาะเคราะห์ ปัดเคราะห์ แก้เคราะห์ เสริมดวงชะตา สร้างความเป็นสิริมงคล ขจัดปัดเป่าคุณไสยทั้งปวง

หลวงพ่ออินทร์ ท่านเก่งกาจทางไสยเวทเป็นอย่างมาก ท่านได้รับนิมนต์ให้เข้าร่วมปลุกเสกวัตถุมงคลพร้อมกับพระเกจิอาจารย์ชื่อดังอื่นๆในสมัยนั้น เช่น หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลวงพ่อเต๋ คงทอง หลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง เป็นต้น

หลวงพ่ออินทร์ ปกครองวัดเรื่อยมาจนถึงแก่มรณภาพลง เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ นับรวมสิริอายุได้ ๗๔ ปีเศษ ๕๓ พรรษา

ศิษย์เอกผู้สืบทอดวิชาพุทธาคมและตำรับน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ไปจากท่าน คืออาจารย์ปาน วัดโบสถ์ แต่ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดโบสถ์ลำดับต่อมาก็คือ พระครูโพธารามพิทักษ์ หรือ หลวงพ่อเขียน สิริมังคโล เจ้าคณะอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ตามประวัติมีศักดิ์เป็นหลานของหลวงปู่อินทร์ ตามคำบอกเล่า

วัตถุมงคลหลวงพ่ออินทร์ วัดโบสถ์

วัตถุมงคลที่หลวงพ่ออินทร์ ได้สร้างไว้มีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ปรากฏหลายประเภท เช่น เสื้อยันต์เกราะเพชร ตะกรุดโทน ตะกรุดชุดคุ้มครองภัย ผ้าประเจียด ผ้ายันต์เมตามหาระรวย ผ้ายันต์ดอกบัว ผ้ายันต์นางกวัก กลีบบัวจารยันต์ พระสมเด็จเนื้อผง พระผงไคลเสมา เหรียญรูปเหมือน เป็นต้น นอกจากนี้ท่านยังมีวิชาสักน้ำมันงาด้านคงกระพันชาตรีและเสน่ห์เมตตามหานิยม

เหรียญหลวงพ่ออินทร์ พิมพ์พุ่มข้าวบิณฑ์ รุ่นแรก

สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ ลักษณะของเหรียญทรงพุ่มข้าวบิณฑ์มีหูในตัว มีการจัดสร้างด้วยเนื้อทองแดง ทองแดงกระไหล่เงิน และเนื้อทองแดงกระไหล่ทอง จำนวนการสร้างไม่ได้ระบุไว้

ด้านหน้า เป็นรูปจำลองหลวงพ่ออินทร์ครึ่งองค์ ห่มจีวรลดไหล่ พาดผ้าสังฆาฏิ ด้านบนและด้านข้างมีอักขระยันต์รอบรูปหลวงพ่อ มียันต์หัวใจธาตุ "นะ มะ พะ ทะ" เหนือยันต์แต่ะละตัวมีอุนาโลม ด้านล่างมีตัวยันต์ "อุ" เหนือศรีษะหลวงพ่อ มีอุนาโลม ๑ ตัว

ด้านหลัง มีอักขระยันต์กรงจักร ตรงกลางมีอักขระยันต์ขอม อ่านว่า “สักกัสสะ วชิราวุธธัง” เป็น(คาถาอาวุธ๔) ด้านบน มีอักขระภาษาไทยอ่านได้ว่า "หลวงพ่ออินทร" ด้านล่าง มีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "วัดโบสถ์" สำหรับเหรียญนี้เป็นเหรียญแรกของผม ที่พอจะมีกำลังซื้อในขณะนั้น เป็นเหรียญรุ่นแรก “เนื้อทองแดงกระไหร่เงิน ๒๔๙๖”

111 - 2

พระลึกลับ กินตับทั่วไทย
Posted 4 weeks ago

#กุมารทองสมบัติ รุ่น3 หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม นครปฐม (เลื่ยมเดิมวัด)

ประวัติและอิทธิปาฏิหาริย์ "กุมารทองสมบัติ"
หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม นครปฐม

ถ้าใครเคยไปที่วัดไผ่ล้อม จะเห็น "กุมารทองสมบัติ"
ตั้งเด่นเป็นสง่า อยู่ที่มุมด้านข้างกุฏิ ของ "หลวงพ่อพูล"

เล่ากันว่ากุมารทองสมบัติ อยู่กับหลวงพ่อมานาน
ตั้งแต่สมัยหลวงพ่อยังหนุ่มๆ
ครานั้นหลวงพ่อพูล ได้เดินทาง
ไปเป็นพระคู่สวด ที่จังหวัด "สุพรรณบุรี"
พร้อมกับ "หลวงพ่อเต้า วัดเกาะวังไทร"
และ อุปัชฌาย์ คือ "หลวงพ่อล้ง วัดห้วยจรเข้"
ซึ่งเมื่อก่อน ทั้ง 3 องค์นี้ จะเดินทางร่วมกัน โดยตลอด

และการเดินทางไปสุพรรณ ในครั้งนั้น (ไม่ทราบปี)
ได้มีญาติโยม นำกุมารทอง มาถวายให้กับ "หลวงพ่อพูล"
เป็นกุมารทอง องค์ใหญ่ เนื้อโลหะสัมฤทธิ์
มีฐาน กว้าง 9 นิ้ว สูง 15 นิ้ว
หลวงพ่อท่าน รู้สึกถูกชะตา กับกุมารทอง องค์นี้มากๆ
ท่านจึงนำมาประดิษฐานไว้ที่กุฏิของท่าน
และตั้งชื่อให้ว่า "กุมารทองสมบัติ"
นับเป็นกุมารทอง องค์เก่าแก่องค์แรก
และองค์เดียวของหลวงพ่อพูล

กุมารทองสมบัติ หลวงพ่อพูล”
เป็นที่เลื่องลือถึงประสบการณ์
โดยเฉพาะประเด็นในการ ให้โชค ให้ลาภ
เรื่อง ความศักดิ์สิทธิ์ ส่งผลทำให้มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก
ในแต่ละวันจะมีผู้คนมา บนบานศาลกล่าว ขอโชค ขอลาภ มิได้ขาด
ถ้าใครไป ที่วัดไผ่ล้อม จะเห็นว่า
มีญาติโยม นำน้ำแดง น้ำเขียว ของเล่นต่างๆ มากมาย
มาถวายกุมารสมบัติ อย่างไม่ขาดสาย ตลอดทั้งวัน

จนใน ปี 2541 หลวงพ่อพูล
ได้สร้างเป็น "เครื่องรางของขลัง"
โดยจัดสร้าง เนื้อดิน 7 ป่าช้า
ขนาดบูชาหน้าฐาน กว้าง 5" 3"
(ใต้ฐานโลหะ แผ่นเงินกับทองแดง)
ขนาดห้อยคอ (เนื้อดิน 7 ป่าช้า และเนื้อผงไม้ตะเคียน)
และ ขนาดห้อยคอ (เนื้่อสัตตะโลหะ ตะปูตอกฝาโลงศพ)

หลังจาก พิธีปลุกเสร็จสิ้นลง ภายในไม่ถึง 7 วัน
ด้วยแรงศรัทธา ใน กุมารทองสมบัติ
ได้มีญาติโยม มาเช่าบูชากันไปจนหมด
ทุกประเภทที่จัดสร้างในรุ่นนั้น

ปัจจุบัน "กุมารทองสมบัติ"
เป็นที่ปรารถนาของผู้คน มากมาย
และเป็น "กุมารทอง"
ยอดนิยม อันดับต้นๆ ของประเทศไทย

คาถาเรียก กุมารทองสมบัติ ของหลวงพ่อพูล
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ 3 จบ
กุมาโรมามะมะ เอหิจิตตังปิยังมะมะ 3 จบ
แล้วก็อธิษฐานบอกกุมารว่าอยากให้ช่วยอะไรก็บอกไป
ใช้ผลไม้ 3 อย่าง น้ำเขียว น้ำแดง จุดธูปไหว้กุมารทอง 3 ดอก
ถ้าบนกุมารทองจุดธูป 1 ดอก

52 - 0

พระลึกลับ กินตับทั่วไทย
Posted 4 weeks ago

#เหรียญรุ่นแรก ปั๊มข้างกระบอก หลวงพ่อฮั้ว วัดกลางวังเย็น ๒๔๖๑ ราชบุรี

หรือ พระครูอาจารโสภณ ฮั้ว ปุณณสิริ แห่งวัดกลางวังเย็น ถือเป็นพระเกจิยุคเก่าอีกรูปหนึ่งของจังหวัดราชบุรี โดยประวัติของท่านที่สามารถสืบค้นได้มีอยู่น้อยนิด เท่าที่พอทราบจากคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ในพื้นที่สามารถลำดับได้ดังนี้

หลวงพ่อฮั้ว วัดกลางวังเย็น ท่านเจ้าอาวาสลำดับที่ ๕ ของวัดกลางวังเย็น เกิดเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๕ ที่บ้านหัวนาคราม ตำบลบางแพ อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี นามเดิมชื่อ ฮั้ว นามสกุล แซ่ตัน ท่านเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ในสมัยเด็กพอหลวงพ่อฮั้วมีอายุได้ ๑๓ ปี ท่านก็ได้บรรพชาเป็นสามเณร ศึกษาเล่าเรียนวิชาต่าง ๆ

จนกระทั่งอายุได้ ๑๕ ปีเศษ ท่านจึงลาสิกขาบท เพื่อมาช่วย บิดา-มารดา ค้าขาย ต่อมาเมื่ออายุครบบวช จึงได้อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดกลางวังเย็น ในปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ได้รับฉายาว่า "ปุณฺณสิริ" โดยในส่วนของพระอุปัชฌาย์ พระกรรมวาจาจารย์ พระอนุสาวนาจารย์ นั้นไม่สามารถสืบค้นได้

หลวงพ่อฮั้ว ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดกลางวังเย็น เรื่อยมาจนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๔๓ ท่านก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดกลางวังเย็น และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากนั้นหลวงพ่อฮั้ว ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะแขวงหัวโพ จังหวัดราชบุรี ตามลำดับ

วัดกลางวังเย็น เป็นวัดเก่าแก่สร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๓๙๒ เดิมชื่อวัดเพียง หรือ วัดกลาง ตั้งอยู่ที่ ๖ ตำบลวังเย็น อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี ได้รับพระราชทานวิสุงคารามในปี พ.ศ. ๒๔๔๕ อันดับเจ้าอาวาสวัดกลางวังเย็นที่สามารถสืบค้นได้มีดังนี้

๑. พระมหานาค อริยเจ้า
๒. พระเสาร์
๓. พระสี
๔. พระเงิน
๕. พระครูโสภณ ฮั้ว แซ่ตัน
๖. พระครูโสภณ ชม บุญถนอม
๗. พระครูโสภณ สาย ภู่ระหงษ์
๘. พระครูโสภณ เริ่ม คงสิน
๙. พระครูโสภณอาจารคุณ เขียน

หลวงพ่อฮั้ว ท่านปกครองดูแลวัดด้วยความวิริยะ อุตสาหะ ทุ่มเท แรงกาย แรงใจ จนวัดกลางวังเย็น เจริญรุ่งเรืองมากในสมัยนั้น ถึงขนาดที่มีพระภิกษุจำพรรษาที่วัดร่วมร้อยรูป หลวงพ่อฮั้ว ท่านเป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีจริยาวัตรที่งดงาม ท่านเป็นพระที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาจิต อุทิศเวลาให้กับพระศาสนาอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ท่านยังเป็นผู้ทรงวิทยาคม และสติปัญญาดีสามารถท่องจำเจ็ดตำนานได้ใน ๗ วัน อีกทั้งท่านยังเป็นหมอยาที่เลื่องชื่อไปไกล เป็นที่พึ่งพา นับถือของชาววังเย็น และชาวพุทธทั่วไป

หลวงพ่อฮั้ว ท่านเป็นเจ้าอาวาสดูแลวัดกลางวังเย็น มาตลอดจนกระทั่งถึงวันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๖ หลวงพ่อฮั้วก็มรณภาพด้วยอาการสงบ ท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจแก่บรรดาญาติโยม และศิษย์เป็นอย่างมาก สิริอายุได้ ๕๑ ปี พรรษาที่ ๓๐

วัตถุมงคลของหลวงพ่อฮั้ว วัดกลางวังเย็น

ในยุคแรก หลวงพ่อฮั้ว วัดกลางวังเย็น ท่านได้สร้างวัตถุมงคล เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อน เนื่องด้วยแถบบ้านหัวนาคราม เป็นเขตที่ห่างไกล ชาวบ้านเมื่อมีปัญหาเดือดร้อนก็มักจะมาขอพึ่งบารมีของท่าน โดยท่านก็มักจะทำตะกรุดโทน ลูกอม แจกจ่ายชาวบ้าน เพื่อไว้คอยปัดเป่าทุกข์ภัยให้กับชาวบ้าน ปัจจุบันถือเป็นของที่หายาก

ปี พ.ศ. ๒๔๖๑

เหรียญปั๊มหลวงพ่อฮั้ว วัดกลางวังเย็น ปี พ.ศ. ๒๔๖๑

สร้างในปี พ.ศ. ๒๔๖๐ ลักษณะของเหรียญถอดแบบมาจากเหรียญหลวงพ่อฟัก วัดบ้านโป่ง คือเป็นเหรียญรูปไข่ ขอบกระบอก ห่วงเชื่อม สร้างด้วยเนื้อเงิน และเนื้อทองแดง จำนวนการสร้างไม่มีการจดบันทึกไว้ แต่คาดว่าน่าจะไม่เกิน ๑,๐๐๐ เหรียญ สามารถจำแนกออกได้เป็น ๒ บล็อก

ด้านหน้า เป็นรูปหลวงพ่อฮั้วแบบครึ่งองค์ ห่มจีวรลดไหล่ พาดผ้าสังฆาฏิ ด้านล่างองค์หลวงพ่อมีโบว์ ปลายโบว์มีตัวเลข "๒๔๖๑" บอกปีที่สร้าง กลางโบว์มีฉายาของท่าน เป็นอักขระขอมอ่านได้ว่า "ปุณณสิริ" ด้านบนมีอักขระยันต์ล้อมรอบไปกับขอบเหรียญอ่านได้ว่า "อาปามะจุปะ ทีมะสังอังขุ สังวิธาปุกะยะปะ"

ด้านหลัง จารึกอักขระยันต์ประกอบไปด้วย ยันต์พระเจ้าห้าพระองค์ ยันต์หัวใจธาตุทั้งสี่ ยันต์พุทธสังมิ ด้านบนสุดของเหรียญมีอักขระยันต์ตัว อุ เหนือตัว อุ มีรัศมีโดยพิมพ์นี้ตัว อุ รัศมี จะไม่กลับด้าน ด้านล่างมีโบว์ภายในโบว์มีอักษรภาษาไทยอ่านว่า "สร้างวัดกลางวังเย็น"

ด้านหน้า เป็นรูปหลวงพ่อฮั้วแบบครึ่งองค์ ห่มจีวรลดไหล่ พาดผ้าสังฆาฏิ ด้านล่างองค์หลวงพ่อมีโบว์ ปลายโบว์มีตัวเลข "๒๔๖๑" บอกปีที่สร้าง กลางโบว์มีฉายาของท่าน เป็นอักขระขอมอ่านได้ว่า "ปุณณสิริ" ด้านบนมีอักขระยันต์ล้อมรอบไปกับขอบเหรียญอ่านได้ว่า "อาปามะจุปะ ทีมะสังอังขุ สังวิธาปุกะยะปะ"

ด้านหลัง จารึกอักขระยันต์ประกอบไปด้วย ยันต์พระเจ้าห้าพระองค์ ยันต์หัวใจธาตุทั้งสี่ ยันต์พุทธสังมิ ด้านบนสุดของเหรียญมีอักขระยันต์ตัว อุ เหนือตัว อุ มีรัศมีโดยพิมพ์นี้ตัว อุ รัศมี จะกลับด้าน ด้านล่างมีโบว์ภายในโบว์มีอักษรภาษาไทยอ่านว่า "สร้างวัดกลางวังเย็น"

และอีกหนึ่งรุ่นสร้างในปี พ.ศ. ๒๔๖๖

เหรียญปั๊มหลวงพ่อฮั้ว วัดกลางวังเย็น แจกในงานศพ ปี พ.ศ. ๒๔๖๖

สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกในงานศพของหลวงพ่อฮั้ว วัดกลางวังเย็น ลักษณะเป็นเหรียญเสมาข้างเลื่อย มีหูในตัว สร้างด้วยเนื้อเงิน และเนื้อทองแดงจำนวนการสร้างไม่ได้มีการจดบันทึกไว้

ด้านหน้า เป็นรูปหลวงพ่อฮั้ว นั่งสมาธิห่มจีวรลดไหล่ พาดผ้าสังฆาฏิ นั่งเหนือไก่ ด้านบนอักขระขอม อ่านได้ว่า "มะอะอุ" เหนือสุดมีตัว อุนาโลม มีอักขระภาษาไทยอ่านได้ว่า "พระครูอาจารย์โสภณ อายุ ๕๑ พรรษา ๓๐ พรรษา"

ด้านหลัง มีอักขระยันต์ มีอักขระไทยเขียนว่า "ที่ระฦกในงานศพ พ.ศ. ๒๔๖๖"

เหรียญหลวงพ่อฮั้ว วัดกลางวังเย็น จัดเป็นเหรียญที่หายากเนื่องด้วยจำนวนการสร้างน้อย พุทธคุณโดดเด่นในทุกๆด้าน มหาอุตม์ คงกระพันธ์ มหาสเน่ห์ อย่างเป็นทีสุด ตามอักขระยันต์ที่ปรากฏ สวยๆสนนราคาหลักหมื่นมาเนินนานแล้ว ปัจจุบันสนนราคาสวยๆแสนถึงล้านบาททีเดียว

71 - 2

พระลึกลับ กินตับทั่วไทย
Posted 4 weeks ago

#เหรียญสี่เหลื่ยมหยุดกระสุน รุ่นแรก หลวงปู่อินทร์ วัดโบสถ์ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ๒๔๙๗

สำหรับองค์นี้เป็นเหรืยญรุ่นแรก พิมพ์สี่เหลี่ยม ปี๒๔๙๖ เนื้ออัลปาก้า ข้างเลื่อย สมญานาม"เหรียญหยุดกระสุน"แห่งเมืองคนสวย!!! หนังไม่เหนียว อย่าเทื่ยววัดโบสถ์《เพราะคนวัดโบสถ์เขาหนังดี

ประวัติหลวงปู่อินทร์ อินฺทโชโต เกิดเมื่อ๒๔๔๐ ท่านมีเชื้อสายชาวลาวที่อพยพมาจากจากเวียงจันทร์ และได้รับบรรพชาอุปสมบทที่วัดบ้านเลือกเหนือ (วัดโบสถ์) มีพระอธิการกลิ่นวัดคงคาราม เป็นผู้อุปชฌาย์ พระอธิการยอด วัดบ้านเลือก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการโลน วัดดอนตูม บ้านโป่ง เป็ฯพระอนุสาวนาจารย์ ได้ชื่อฉายาว่า "อินฺทโชโต" เมื่อบวชแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านเลือกเหนือ (วัดโบสถ์) และรํ่าเรียนวิชาอาคมจากตำราของชาวลาวที่มีมาแต่ดั่งเดิมและเรียนทั้งขอมไทยและบาลีจนถือว่าแตกฉานทุกแขนง หลวงปู่อินทร์ถือการออกธุดงค์และนั่งกรรมฐานเป็นนิตย์ วิทยาคมวิชาเสกทำนํ้ามนต์ ซึ่งเป็นวิชาเก่าแก่ของชาวลาวถถือว่าศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก จนเป็นที่กล่าวขานกันมาถึงปัจจุบัน ท่านบวชและจำพรรษาอยู่ที่วัดโบสถ์จนกระทั่งได้เป็นเจ้าอาวาส และได้สร้างวัดโบสถ์ให้มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ด้วยความเชี่ยวชาญในวิชาอาคมและเป็นพระนักพัฒนาทำให้ประชาชนทั่วไปเลื่อมใสศรัทธามาทำบุญที่วัดโบสถ์เป็นจำนวนมากต่อมาท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระคูณสัญญาบัตรที่
"พระคูรประสาทสังวรกิจ"

หลวงปู่อินทร์นั้นได้ชื่อว่าอาคมขอองท่านแก่กล้าและพลังจิตสูงมาก โดยได้แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวบ้านทั้งอำเภอโพธารามและเลื่องลือไปทั่วประเทศ ใครมีเรื่องเดือดร้อนสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นการขับไล่ภูผีปีศาจ การเป่ารักษา การแก้คุณไสย ท่านช่วยได้หมด แม้แต่ชานหมากของท่านยังขับไล่พิษงูได้อย่างเหลือเชื่อ ยิ่งนํ้ามนต์ของท่านศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนักอานุภาพทางสะเดาะเคราะห์ ปัดเคราะห์ แก้เคราะห์ เสริมดวงชะตา และสร้างความเป็นสิริมงคลขจัดปัดเป่าคุณไสยทั้งปวง กล่าวกันว่าหลวงปู่สามารถต่อดวงชะตาทำคนตายให้ฟื้นได้ เรียกว่าพิธี "แต่งกรรม" ซึ่งเป็นวิชาที่สืบทอดกันมาของชาวลาวเวียงจันทร์ ดังนั้นในงานกฐินหรืองานผ้าป่าของวัดโบสถ์แต่ละปี จึงไม่เป็นที่แปลกใจที่ได้เห็นขบวนของลูกศิษย์ท่านมาจากทั่วทุกสารทิศ ตั่งขบวนกันไม่ตํ่ากว่า๒๐ขบวนทุกปี

วัตถุมงคลของหลวงปู่อินทร์ล้วนแต่มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ต้องการของบรรดาลูกศิษย์ทั้งสิ้น เหรียญรูปเหมือนรุ่นแรกของหลวงปู่อินทร์สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๖ มีด้วยกันสองพิมพ์คือรูปสี่เหลี่ยม จะเป็นเนื้อเงินลงยาและเนื้ออัลปาก้า อีกพิมพ์คือใบสาเก เป็นเนื้อทองแดงกะไหล่ทองและกะไหล่เงิน รุ่น๒ รุ่น๓ รุ่น๔ เหรียญเลื่อนสมณะศักดิ์พุฒสั้นและพุฒยาว พระผงเทืยนชัย กริ่งประทานพร แขนทะลุ แขนตัน ตะกรุดโทน ตะกรุดเก้าดอก ตะกรุดสาลิกา และยังมีวัตถุมงคลอื่นๆ อาทิ เสื้อยันต์เกราะเพชร ตะกรุดโทน ตะกรุดชุดคุ้มครองภัย ผ้าประเจียด ผ้ายันต์เมตตามหาละรวย ผ้ายันต์ดอกบัว ผ้ายันต์ นางกวัก พระสมเด็จเนื้อผง พระผงไคลเจดีย์ หรือแม้แต่ใบฏีกางานกฐินที่ท่านพิมพ์แจกยังมีความศักดิ์สิทธิ์เกิดประสบการณ์ไฟไม่ไหม้ จากประสบการณ์ทั้งหลายทำให้เหรียญหลวงปู่อินทร์ลงยามีมูลค่าสูงมากและได้รับการยอมรับว่าเอกในเรื่องความเหนียวที่สุดของอำเภอโพธาราม หลวงปู่อินทร์มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ สิริอายุ ๗๔ ปี ศิษย์เอกผู็สือทอดพุทธาคมและตำรับนํ้ามนต์ศักดิ์สิทธิ์ต่อมาก็คือ พระคูรโพธารามพิทักษ์ หรือหลวงพ่อเขียนสิริมังคโล เจ้าคณะอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี รูปปัจจุบัน

ชาต : พ.ศ. ๒๔๔๐
อุปสมบท : พ.ศ. ๒๔๖๐
มรณภาพ : ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๓
rc คัมภีร์พระเครื่องเมืองราช

88 - 4

พระลึกลับ กินตับทั่วไทย
Posted 4 weeks ago

#เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่ออู๊ด นารโท วัดกลางคลองห้า ๒๕๐๙ ปทุมธานี

เกจิ"สายเหนียว"ศิษย์เอกหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ เหรียญแพงสุดแห่งคลองหลวง-ปลุกเสกจนกระโดด!! วัดหัตถสารเกษตร ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย

ตามประวัติสร้างเมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๔๓๙ โดยมีพระหัตถสารศุภกิจ (ภู่) ต่อมาได้เลื่อนยศเป็น “พระยาอาหารบริรักษ์” คุณหญิงจอมผู้เป็นภรรยาได้ยกที่ดินให้และดำเนินการสร้างวัดนี้ ได้รับพระราชทานนามวัดพร้อมกับพระราชทานวิสุงคามสีมาจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า "วัดหัตถสารเกษตร" เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๔๒

ได้ดำเนินการผูกพัทธสีมาเมื่อ พ.ศ.๒๔๔๗ ชาวบ้านนิยมเรียกว่า “วัดกลางคลองห้า” อดีตเจ้าอาวาสที่มีชื่อเสียงคือ "หลวงพ่ออู๊ด นารโท" ปกครองวัดตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๔๕๗ -๒๕๑๒

ท่านเป็นศิษย์เอก หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีศักดิ์เป็นศิษย์รุ่นพี่ของหลวงพ่ออั้น ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าพูดถึงศิษย์หลวงพ่อกลั่น ก็มักจะนึกถึงหลวงปู่สี-หลวงปู่ใหญ่ วัดสะแก หรือไม่ก็หลวงพ่อคอน วัดชัยพฤกษ์มาลา ตลิ่งชัน ทั้งๆที่หลวงพ่ออู๊ดนั้นเป็นศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาของหลวงพ่อกลั่นมาแบบเต็มๆ อีกเหรียญลึกลับแห่งเมืองไทย❗

62 - 4

พระลึกลับ กินตับทั่วไทย
Posted 4 weeks ago

#เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อนิ่ม วัดเขาน้อย เนื้อทองแดง
ประวัติหลวงพ่อนิ่ม(มังคโล)วัดเขาน้อย อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์

ในระหว่างที่หลวงพ่อทองศุข อินทโชโต เป็นเจ้าอาวาสวัดโตนดหลวงนั้น มีพระคู่ใจของท่านเสมือนพระเลขาอยู่สององค์คือ (หลวงพ่อนิ่ม) ซึ่งต่อมาไปเป็นเจ้าอาวาสวัดเขาน้อย และอีกองค์หนึ่งคือ (หลวงพ่อจันทร์) ต่อมาไปเป็นเจ้าอาวาสวัดมฤคทายวัน

ทั้งสององค์นี้ได้รับการถ่ายทอดพุทธาคมจากหลวงพ่อทองศุขเอาไว้มาก เสมือนศิษย์รุ่นน้องอีกสององค์คือ (หลวงพ่อแผ่ว) ซึ่งต่อมาได้เป็นเจ้าอาวาสวัดโตนดหลวง และ (หลวงพ่อย้อน) ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดโตนดหลวงองค์ปัจจุบัน

นอกจากนี้ลูกศิษย์ของหลวงพ่อทองศุขในเพชรบุรีมีอีกหลายองค์ เช่น หลวงพ่อจ่าง วัดเขื่อนเพชร, หลวงพ่อหวล วัดนิคม, หลวงพ่อเฮง(ห่วย) วัดห้วยทรายใต้, หลวงพ่ออุ้น วัดตาลกง, หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก เป็นต้นฯ...

หลวงพ่อนิ่ม วัดเขาน้อย ท่านเป็นศิษย์ใกล้ชิดก้นกุฏิของ หลวงพ่อทองศุข ท่านได้จำพรรษาอยู่รับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่อทองศุข ที่วัดโตนดหลวงอยู่นานถึง 20 ปี

หลวงพ่อนิ่ม สถานะเดิมชื่อ นิ่ม นามสกุล วัฒนพิชัย เกิดวันที่ 27 กันยายน พ.ศ.2452 ที่ อ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี ใช้ชีวิตในวัยเด็กช่วยบิดา-มารดาทำงานจนอายุได้ 22 ปี จึงได้อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดโตนดหลวง อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี โดยมี พระครูแช่ม วัดนายาง จ.เพชรบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวัน วัดหนองศาลา จ.เพชรบุรี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระครูพินิจสุตคุณ (ทองศุข อินทโชโต) วัดโตนดหลวง จ.เพชรบุรี เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาว่า (มังคโล)

หลังจากนั้นหลวงพ่อนิ่มได้อยู่จำพรรษา ณ วัดโตนดหลวง รับใช้ใกล้ชิด หลวงพ่อทองศุข ในฐานะพระเลขา ดูแลการทำงานแทนหลวงพ่อ ขณะเดียวกันก็ศึกษาวิชาพุทธาคมจากหลวงพ่อทองศุข โดย หลวงพ่อทองศุขเมตตาไว้ใจและมอบวิชาพุทธาคมที่มีอยู่ทั้งหมดให้หลวงพ่อนิ่ม รวมทั้งอบรมกรรมฐานและวิปัสสนา จนหลวงพ่อนิ่มมีความเชี่ยวชาญทำของได้ขลัง

นาย เชิด วันเต็ม ชาวบ้านปากน้ำ อ.ปราณบุรี เล่าว่า มงคลวัตถุของหลวงพ่อนิ่มนั้นทุกรุ่น ล้วนมีความขลังความศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น โดยเฉพาะ พระปิดตาเนื้อผง เนื้อขี้ควาย เด็กในตลาดปราณบุรีทุกคนที่แขวน เมื่อไปหาหมอจะฉีดยาไม่เข้า จนต้องถอดพระออกจากคอ ส่วนตะกรุด ของหลวงพ่อนั้น นายเชิดว่าสามารถลอยน้ำได้ ลุงสนิท พลอยน้อย ผู้ร่วมสร้างวัดกับหลวงพ่อนิ่มเล่าว่า ผ้ายันต์ ของหลวงพ่อนิ่มมีความศักดิ์สิทธิ์มาก ทุกครั้งเมื่อมีการจัดงานที่บ้านจะต้องเอาผ้ายันต์ของหลวงพ่อนิ่มขึ้นไว้ ปลายเสาจุดธูปบอก รับรองว่าฝนไม่ตกทำให้งานเสีย

นอกจากนั้นลุงสนิท พลอยน้อย ได้เล่าว่า ขณะสร้างวัดเขาน้อยกับหลวงพ่อนิ่มนั้น ได้มีพ่อของ ครูแล ชื่นโม ร.ร.วัดเขาน้อย ขุดพบพระพุทธรูป สมัยอมราวดี ปางประทานพร เนื้อสัมฤทธิ์ หัก จึงเก็บไว้ในบ้าน หลังจากนั้นพ่อของครูแลก็ป่วยรักษาเท่าใดก็ไม่หาย หลวงพ่อนิ่มถามว่าที่บ้านมีพระหักๆ อยู่ไหม ครูแลบอกว่ามี จึงให้เอามาถวายไว้ที่วัด ปรากฏว่าหลังจากนั้นไม่นานก็หายป่วย พระองค์นี้มีความศักดิ์สิทธิ์มาก คนตาบอดมาอธิษฐานขอให้หายก็หายได้ หลวงพ่อนิ่มจึงได้สร้างองค์ใหญ่ไว้ และได้สร้างเหรียญรูปพระอมราวดีประทานพรไว้ด้วย ต่อมา นายดี จันทรเสน ได้ขุดพบรอยพระพุทธบาทที่บริเวณเขาน้อย หลวงพ่อนิ่มจึงได้สร้างมณฑปใส่ไว้และมีงานประจำปีทุกปี แสดงว่าบริเวณวัดเขาน้อยอาจมีร่องรอยเป็นสถานที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง มาแต่ในอดีตกาล

55 - 4

พระลึกลับ กินตับทั่วไทย
Posted 4 weeks ago

#หลวงพ่อสุ่น วัดหนองปลาหมอ พิมพ์สมาธิฐานบัว เนื้อดิน อยุธยา

☆ หลวงพ่อสุ่นพระอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งวัดบางปลาหมอ อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระผู้เป็นพระอาจารย์ของสองพระเกจิอาจารย์ชื่อดังคือ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค และหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก ทั้งสองพระเกจิอาจารย์จัดว่าเป็นสุดยอดพระอาจารย์ดังของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเลยทีเดียว

หลวงพ่อสุ่นถึงแม้ชื่อเสียงท่านจะไม่โด่งดังเท่ากับศิษย์รักทั้ง ๒ รูปที่กล่าวมานั้น แต่ในตัวหลวงพ่อเองจัดว่าเป็นพระอาจารย์ที่สำเร็จกรรมฐาน เป็นพระหมอยาที่มีชื่อเสียงมาก เมื่อครั้งที่ท่านมีชีวิตอยู่ ชาวอำเภอเสนา อำเภอบางบาล บางไทร และใกล้เคียงต่างก็เคารพรักศรัทธาในตัวท่านมาก

ประวัติหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอนั้นเลือนรางมาก มีแต่การเล่าต่อๆ กันมาอีกทีหนึ่งแทบจะหารายละเอียดไม่ได้เลย ทั้งนี้เพราะว่าสมัยท่านไม่มีใครบันทึกเรื่องราวเอาไว้ และผู้ที่พอจะรู้เรื่องของหลวงพ่อบ้างต่างก็เสียชีวิตกันหมดแล้ว จึงเป็นที่น่าเสียดายมากสำหรับชีวประวัติ เรื่องราวของพระอาจารย์ดังที่เก่งในด้านวิชาอาคมต่างๆ ไม่มีการเล่าขานให้กระจ่างชัดเท่าที่ควร

ประวัติของหลวงพ่อสุ่นที่พอจะสันนิษฐานจากรูปถ่ายของท่าน ปีพ.ศ.ที่ถ่ายไว้ และประมาณอายุของท่านในตอนที่ได้ถ่ายรูปนั้น ก็พอจะคาดเดาเอาว่าท่านน่าจะเกิดในราวปี พ.ศ.๒๓๕๘ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ (แต่มีผู้ที่ได้สันนิษฐานแตกต่างออกไป คือสันนิษฐานว่าหลวงพ่อสุ่น เพราะว่าท่านเป็นสหธรรมิก กับหลวงพ่อปั้น วัดพิกุลฯ (เกิด ๒๓๗๖ มรณภาพ ๒๔๕๖) และ หลวงพ่อเนียม วัดน้อย (เกิด ๒๓๗๑ มรณภาพ ๒๔๕๑) น่าจะอายุอานามใกล้เคียงกัน

อีกทั้งมีรูปถ่ายของหลวงพ่อสุ่นที่ถ่ายคู่กับพัดรอง ซึ่งมีจารึกไว้ที่พัด ว่าเป็นพัดรองที่ระลึกงานพระเมรุ พระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาคนารีรัตน์ (พระนามเดิม หม่อมเจ้าปิ๋ว ลดาวัลย์) แสดงว่าหลวงพ่อสุ่นได้รับนิมนต์ในงานพระเมรุนั้น ซึ่งจัดขึ้นในปี จ.ศ. ๑๒๔๘ ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๒๙ ด้วย และข้อมูลจากพระราชนิพนธ์ "ประพาสต้น" ครั้งที่ ๒ ปีพ.ศ.๒๔๔๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงมาประทับแรมที่วัดสีกุก อ.บางบาล จังหวัดอยุธยา เมื่อวันที่ ๔-๕ สิงหาคม ๒๔๔๙ กล่าวถึงว่า

"วันที่ ๕ เช้าโมงหนึ่ง น้ำลดสะพานเดินได้ ขึ้นไปถ่ายรูปในมณฑป ที่พูดเมื่อวานนี้ มีพระป่าเลไลยก์ และรูปเจ้าอธิการวัดบางปลาหมอ ที่เขาเรียกในคำจารึกแต่ว่า พระอาจารย์หมอ รูปร่างหน้าตางาม ขนาดเท่าตัว ท่านอาจารย์คนนี้เป็นหมอรักษาบ้า ว่าเป็นพระญาติสมเด็จพระปวเรศ"

และในหมายเหตุท้ายพระราชนิพนธ์นี้ได้ระบุว่า "อาจารย์วัดบางปลาหมอองค์นี้ ชื่ออาจารย์สุ่น"

จากพระราชนิพนธ์นี้ทำให้ได้เค้าข้อมูลบางอย่าง คือการที่ พระพุทธเจ้าหลวงทรงนิพนธ์ไว้ว่า "รูปเจ้าอธิการ ที่เขาเรียกในคำจารึกแต่ว่า พระอาจารย์หมอ.." แสดงว่าในปีพ.ศ. ๒๔๔๙ นั้นหลวงพ่อสุ่นท่านมรณภาพแล้ว จากหลักฐานที่มีอยู่ก็ทำให้สันนิษฐานต่อได้ว่า หลวงพ่อสุ่นท่านน่าจะมรณภาพในราวปี พ.ศ.๒๔๔๗ สิริอายุราว ๘๙-๙๐ ปี และที่ว่าเป็นพระญาติของสมเด็จกรมพระยาปวเรศฯ ก็มาจากข้อมูลนี้ โดยหลวงพ่อสุ่นท่านอาจจะเป็นพระญาติของสมเด็จกรมพระยาปวเรศวิริยาลงกรณ์ ทางฝ่ายเจ้าจอมมารดาก็อาจเป็นได้

หลวงพ่อสุ่นท่านเป็นสหธรรมิกกับหลวงพ่อปั้น วัดพิกุลโสคันธ์ และหลวงพ่อเนียม วัดน้อย จากคำบอกเล่าของชาวบ้านและหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ผู้เป็นศิษย์ของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งได้รับการบอกเล่าต่อมาจากหลวงพ่อปาน ก็พอจะได้เค้าราง ดังต่อไปนี้

มีเรื่องเล่าถึงเรื่องราวของหลวงพ่อสุ่นกับสหธรรมิก(เพื่อน)ของท่านคือหลวงพ่อปั้น วัดพิกุลโสคัณธ์ (ข้างวัดพระขาว) เอาไว้ว่า คราวหนึ่งเมื่อเวลาที่หลวงพ่อปั้น แจวเรือผ่านหน้าวัดบางปลาหมอ หลวงพ่อสุ่น ก็ทักทายหลวงพ่อปั้น ว่า "เอ้า...ท่านจะไปไหนล่ะ?" หลวงพ่อปั้นบอกว่าจะไปในเมือง หลวงพ่อสุ่น จึงพูดต่อว่า "แล้วทำไมไม่ไปล่ะ รออะไรอยู่" หลวงพ่อปั้น ก็พูดว่า "ก็ท่านมาขวางไว้จะไปได้อย่างไรเล่า" หลวงพ่อปั้นก็ถามหลวงพ่อสุ่น เช่นกันว่า "แล้วท่านทำอะไรอยู่เหรอ" หลวงพ่อสุ่น จึงว่า "กำลังจะกินหมากน่ะ " หลวงพ่อปั้น จึงพูดต่ออีก "แล้วทำไมไม่ตำซะทีล่ะ" หลวงพ่อสุ่น บอกว่า "จะตำได้ยังไงล่ะ ก็ท่านขัดไว้เหมือนกันนี่"

หลวงพ่อสุ่นท่านเป็นพระวิปัสสนากรรมฐานผู้ทรงอภิญญา มีวิชาอาคมไสยเวทย์เปี่ยมล้น นอกจากนี้ยังเป็นพระหมอรักษาไข้ ช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนแก่สาธุชนทั่วไปอีกด้วย มีผู้มาบวชกับหลวงพ่อสุ่นอยู่มาก และหลวงพ่อสุ่น ท่านก็เป็นพระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค โดยเมื่อหลวงพ่อปานอายุครบบวช บิดาของท่านก็นำท่านมาขอบวชกับหลวงพ่อสุ่นที่วัดบางปลาหมอ

ในช่วงเวลาที่หลวงพ่อปานอยู่กับหลวงพ่อสุ่นตั้งแต่เป็นนาคจนกระทั่งบวชอยู่กับหลวงพ่อสุ่นและศึกษาวิปัสสนากรรมฐานและวิทยาคมต่างๆ กับหลวงพ่อสุ่น ซึ่งหลวงพ่อสุ่นท่านก็ได้ถ่ายทอดวิทยาคมให้แก่หลวงพ่อปานจนหมดสิ้น จนถึงหลวงพ่อสุ่นก็ได้ส่งให้ท่านไปเรียนพระปริยัติธรรมที่สำนักวัดสระเกศ กรุงเทพฯ ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น “พระราชพรหมญาณ” หรือ “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ” ลูกศิษย์รูปหนึ่งของหลวงพ่อปาน ได้เล่าถึงวิธีการสอนวิปัสสนากรรมมัฏฐานและอาคมต่างๆ ของหลวงพ่อสุ่น รวมทั้งปฏิปทาของท่านไว้ในหนังสือ "ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค" ไว้ดังนี้

ประวัติหลวงพ่อสุ่น ตอน สอนวิชาหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค

ต่อมาในสมัยที่หลวงพ่อปานอายุครบบวช (พ.ศ. ๒๔๓๘) ท่านพ่อก็นำมาขอบวชกับหลวงพ่อสุ่นที่วัดบางปลาหมอ

พอวันรุ่งขึ้น ท่านพ่อก็พาถือพานดอกไม้ธูปเทียนไปวัดบางปลาหมอ เวลาเดินไปตามทาง ท่านไปพบปลาตัวหนึ่งมันอยู่ในหนองน้ำเกือบจะแห้ง เป็นปลาช่อนตัวใหญ่ ท่านก็จับเอาไป พอถึงแม่น้ำท่านก็ปล่อยท่านบอกว่าในชีวิตของท่านไม่เคยฆ่าสัตว์เลย ไอ้สัตว์นี่นะตัวเล็กตัวใหญ่ก็ตาม ถ้าฆ่ามันโดยเจตนาแล้วไม่เคยทำ แม้แต่ยุงก็ไม่เคยตบ ปล่อยปลาแล้วท่านพ่อก็พาไปหาหลวงพ่อสุ่น หลวงพ่อสุ่นเห็นเข้ากวักมือเลย เรียกชื่อพ่อท่าน บอกว่า “ไง เอ็งพาเจ้าปานมาอยู่วัดหรือ จะเอาเจ้าปานบวชหรืออย่างไร” ท่านพ่อบอกว่า “ใช่ขอรับ” เอาสั้นๆว่าท่านเป็นอาจารย์ที่สอนวิชาให้เเก่ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อีกท่านหนึ่งที่ขาดไม่ไม่ได้เลยทีเดียว

72 - 0